สรุปข่าว 19.35 น.
+++คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเรื่องเกี่ยวข้องกับงานพระบรมศพ ตามที่คณะกรรมการฝ่ายจัดพิธีการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ในคราวประชุม เมื่อวันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560 เสนอ ดังนี้ ให้วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2560 เป็นวันหยุดราชการเพียงวันเดียว เนื่องจากใน วันพุธที่ 25 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันออกพระเมรุมาศก่อนวันถวายพระเพลิง และวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นวันต่อเนื่อง คณะกรรมการฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการรักษาความปลอดภัยและการจราจร คณะกรรมการจัดขบวนพระบรมราชอิสริยยศ และคณะกรรมการฝ่ายจัดพิธีการ ได้วางแผนรองรับครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ปฏิบัตินั้น เนื่องจากการปฏิบัติงานในพิธีช่วงก่อน และหลังวันที่ 26 ตุลาคม เป็นการปฏิบัติราชการ จึงให้หน่วยงานเจ้าสังกัดพิจารณาผ่อนผัน หากจะต้องใช้เวลาราชการเพื่อการเดินทาง และเตรียมการตามสมควร
+++ ขยายเวลาการไว้ทุกข์ของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเดิมเคยมีประกาศกำหนดระยะเวลา 1 ปี โดยขยายจากวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2560 จนไปถึงวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 อันเป็นวันเก็บพระบรมอัฐิ รวมเวลา 15 วัน
+++ ให้สถานที่ราชการ สถานศึกษา สถานที่ทำการของรัฐ ทั้งในและต่างประเทศ ลดธงครึ่งเสา ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2560 ถึงวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 รวมเวลา 15 วัน ให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ออกทุกข์ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป ให้เริ่มเก็บผ้าระบาย ป้ายส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ตามสถานที่ต่าง ๆ ตั้งแต่คืนวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 และ ให้ประธานกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ขอความร่วมมือและซักซ้อมทำความเข้าใจสถานบันเทิง และสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ งดหรือลดกิจกรรมบันเทิงในเดือนตุลาคมตามช่วงเวลาที่เหมาะสม
+++การตัดสินคดียิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในวันพุธที่ 27 ก.ย.นี้ ศาลนัดคู่ความมาฟังคำพิพากษา ในเวลา 9 โมงเช้า ซึ่งจะเป็นการอ่านคำพิพากษาลับหลังน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะจำเลย ประเมินได้ว่าไม่มาปรากฏตัวที่ศาลฎีกาฯแน่ ขณะที่รายงาน แจ้งมาจากประเทศอังกฤษว่า ตอนนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ระยะหนึ่งแล้ว หลังจากหนีออกจากประเทศไทยมาตั้งแต่วันที่23 สิงหาคม สำหรับแหล่งที่หลบซ่อนหรือที่อยู่ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ในลอนดอน ที่อพาร์ตเมนต์หรูแห่งหนึ่งในย่านไนท์สบริดจ์ KnightsBridge ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับแฮร์รอด ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
+++พ.ต.อ.วรายุทธ สุขวัฒน์ธนกุล รอง ผบก.ตำรวจกองบังคับการปราบปรามความผิดว่าด้วยการทุจริตและประพฤติมิชอบหรือ ปปป. ได้นำสำนวนคดีทุจริตเงินอุดหนุนบูรณะปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด เงินอุดหนุนส่งเสริมการเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา-แผนกธรรม-แผนกบาลี จำนวน 23 วัด ตั้งแต่ปี 2555-60 ความเสียหายประมาณ 140 ล้านบาท พ.ต.อ.วรายุทธ กล่าวว่า การยื่นสำนวนคดีทุจริตเงินทอนวัดครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 หลังจากมีการยื่นสำนวนคดีทุจริตเงินทอนวัดไปแล้วก่อนหน้านี้ 1 ครั้ง โดยพบการทุจริตใน 23 วัด แต่วันนี้มีการยื่นสำนวนเพียง 21 วัด ยังเหลือในส่วนของ วัดบำเพ็ญเหนือ และวัดราชสิทธารามราชวรวิหาร จะต้องรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมก่อนจะนำมายื่นต่อ ป.ป.ช.ในวันที่ 29 กันยายน ยืนยันว่ากรณีที่เกิดขึ้นนั้นร้อยละ 90 เจ้าอาวาส พระ และวัด ไม่มีส่วนรู้เห็น แต่เป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ระดับสูงและระดับกลางของ พศ. ซึ่งทางวัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่พอโดยเรียกเงินทอนก็ทำอะไรไม่ได้ มีเพียงส่วนน้อยที่พระและวัดมีส่วนรู้เห็น
+++นอกจากนั้น บก.ปปป. ยังมีข้อมูลการทุจริตเงินทอนวัดในลักษณะนี้อีกประมาณ 100 วัด ซึ่งเป็นข้อมูลจาก พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. ที่เคยให้ไว้ โดยพบว่ามีการทุจริตชัดเจน แต่มีงบประมาณในบางส่วนที่สูงมาก มูลค่าหลายร้อยล้านบาท ซึ่งบก.ปปป.จะมีการดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานและทำสำนวนส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อไป คาดว่าจะใช้เวลา 3-4 เดือน ก็จะได้ข้อสรุปในบางส่วน อย่างไรก็ตามยืนยันว่าการดำเนินการของ บก.ปปป. และ ป.ป.ช. เป็นคนละส่วนกับการตรวจสอบภายในของ พศ.
+++หลัง นายจเร พันธุ์เปรื่อง ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เขียนบทอำลาตำแหน่ง “สัจธรรมชีวิตราชการ” ในโอกาสที่จะเกษียณอายุ ในวันที่ 30 ก.ย.นี้ โดยระบุว่ารัฐสภาเต็มไปด้วยคนขี้โกง คนซื่อสัตย์จะถูกกลั่นแกล้ง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า การไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกฯ ของนายจเร เป็นไปตามคำสั่งมาตรา 44 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ส่วนที่บอกว่ารัฐสภามีทั้งคนดีและไม่ดี ก็คงเป็นแบบนั้น ซึ่งคนดีมีมากกว่าคนไม่ดี และคนไม่ดีก็มีอยู่ ไม่เช่นนั้น คงไม่มีเรื่องที่จะกล่าวหากันในเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นมรดกตกทอดกันมา อย่างไรก็ดี อย่าให้ตนพูดเรื่องนี้เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบราชการ ใครที่ใส่สีตีไข่ก็ไปว่ากันเอาไม่เกี่ยวอะไร
+++หลังคนร้ายเป็นชาย 1 ราย ก่อเหตุใช้ระเบิดซีโฟร์ลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม บริเวณหน้าประตูทางเข้าห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขากรุงเทพกรีฑา ล่าสุด ตำรวจได้ควบคุมตัวชาย 1 ราย เป็นชายชาวโปแลนด์ อายุประมาณ 38 ปี ซึ่งต้องสงสัยเป็นผู้ลงมือก่อเหตุวางระเบิดชิงเงินดังกล่าว โดยสามารถจับกุมได้ที่อพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่งภายในซอยรามคำแหง 50 ภายหลังจากเจ้าหน้าที่แกะรอยจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางตั้งแต่ก่อเหตุและหลบหนีจนติดตามตัวได้ในที่สุด เบื้องต้นผู้ต้องสงสัยชาวโปแลนด์คนดังกล่าวยังไม่ได้ให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีกับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม แต่คาดว่าน่าจะมีประวัติการก่อเหตุลักษณะเดียวกันนี้ในต่างประเทศมาก่อน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล พร้อมกับรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อยืนต่อสาลขออนุมัติหมายจับต่อไป หลังเกิดเหตุชายต้องสงสัยชาวโปแลนด์ได้เดินทางไปประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 15 กันยายน จากนั้นได้เดินทางกลับเข้ามาประเทศไทย ก่อนถูกจับได้ในครั้งนี้
+++ขณะนี้ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างประสานสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เพื่อตรวจสอบว่ามีบุคคลอื่นร่วมเดินทางออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 15 กันยายน ด้วยหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า ในวันที่ 27 กันยายน นี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จะแถลงผลการจับกุมและนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพต่อไป
+++ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบในวันนี้ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี หลังจากเกาหลีเหนือออกมากล่าวหาว่า สหรัฐได้ประกาศสงครามกับเกาหลีเหนืออย่างชัดเจน และเกาหลีเหนือพร้อมที่จะตอบโต้ ดัชนีนิกเกอิปิดลบ 67.39 จุด ที่ 20,330.19 จุด
+++ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเริ่มซึมซับสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี และให้ความสนใจไปที่แนวโน้มเศรษฐกิจจีนแทนเพิ่มขึ้น 12.67 จุด ปิดวันนี้ที่ 27,513.01 จุด
+++ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้ เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบ ปิดที่ 1,669.75 จุด เพิ่มขึ้น 2.16 จุด มูลค่าการซื้อขาย 60,089.60 ล้านบาท ปัจจัยในวันพรุ่งนี้คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ย แต่โอกาสที่ หุ้นไทยยังมีโอกาสไปแตะ 1,700 จุดได้ เพราะปัจจัยพื้นฐานของไทยในครึ่งปีหลังจะออกมาดีต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนภาครัฐและเอกชน
+++นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เกิ้ล แห่งเยอรมนี ผู้นำพรรคคริสเตียน เดโมแครต ยูเนียน(ซีดียู)เริ่มต้นการพูดคุยกับบรรดาผู้นำจากพรรคการเมืองอื่นๆเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลผสมหลังชนะการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ แม้ว่าพรรคฯของเธอจะชนะการเลือกตั้ง สามารถจะกลับมาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเป็นสมัยที่ 4 แต่ชัยชนะด้วยคะแนนเพียงร้อยละ 33 (หรือสส.246 ที่นั่งจากจำนวนสส.ทั้งหมดในรัฐสภาเยอรมนีจำนวน 709 คน) นับว่าเป็นผลงานที่แย่ที่สุดของพรรคฯในรอบ 70 ปี ส่งผลให้เธอมีอำนาจการต่อรองลดลงมาก ก่อนหน้านี้พรรคโซเชียล เดโมแครติก หรือเอสดีพี ของนายมาร์ติน ชูลซ์ ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลในชุดที่แล้วและได้คะแนนมาอยู่ในลำดับ 2 คือร้อยละ 20.5 (หรือสส.153 ที่นั่ง) แต่ถือว่าผลงานแย่ที่สุดของพรรคฯนับแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประกาศว่าจะขอทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ส่งผลให้ขณะนี้นางแมร์เกิ้ลมีทางเลือกน้อยลง
+++นักข่าวซีเอ็นเอ็นวิเคราะห์ว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่นางแมร์เกิ้ลจะทาบทามพรรคเอเอฟดี เข้าร่วมรัฐบาล ดังนั้นหนึ่งในทางเลือกมีความเป็นไปได้มากที่สุดคือ รัฐบาลผสมที่ประกอบด้วย 3 พรรคคือพรรคซีดียู(ร้อยละ 33) พรรคเอฟดีพี(ร้อยละ 10.7)และพรรคกรีนส์ (ร้อยละ 8.9) หากไม่สามารถจัดตั้งพรรคร่วม 3 พรรค นางแมร์เกิ้ลอาจจะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยร่วมกับซีดียู แต่เสี่ยงต่อการล้มครืนหรือการยุบสภาในที่สุด ถ้าหากไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายสำคัญๆให้ผ่านสภา แต่ขณะนี้ดูเหมือนว่านางแมร์เกิ้ลจะยังไม่ลดละความพยายามที่จะดึงพรรคเอสพีดี พรรคพันธมิตร ให้เปลี่ยนใจและกลับมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสมเพื่อบริหารประเทศอีกครั้ง