พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมคณะ เดินทางมายังวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร โดยมีว่าที่ร้อยตรีสุพีพัฒน์ จองพานิช ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ให้การต้อนรับ เมื่อนายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึงได้เข้ากราบ สักการะหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ จากนั้นได้ห่มผ้าองค์หลวงพ่อโต ก่อนกราบขอพรจากพระธรรมพุทธิมงคล ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าอาวาดวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ในพระวิหารหลวงวัดป่าเลไลยก์ โดยพระธรรมพุทธิมงคล ได้มอบรูปเหมือนหลวงพ่อโตหน้าตัก 3 นิ้ว และหนังสือสวดมนต์ให้กับนายกรัฐมนตรี พร้อมมอบเหรียญหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ ทำจากสตางค์เก่าให้กับคณะรัฐมนตรี และคณะผู้ติดตาม
ขณะที่พระธรรมพุทธิมงคล ได้สนทนาธรรม พร้อมกล่าวกับพล.อ.ประยุทธ์ ว่า เรื่องที่หนึ่ง หายใจคลายเครียด เวลามีเรื่องอะไรเครียดให้หายใจเข้าทางจมูกลึก ๆ และหายใจออกทางปากนับไป 10 ครั้ง โบราณท่านว่าไว้ ว่ามีอะไรเครียดให้นับ 1 ถึง 10 นั้นคือการนับลมหายใจ เรื่องที่สอง เรื่องการสวดมนต์ ตรรกะง่าย ๆ เราจะรักใครเคารพใคร เชิดชูบูชาใคร เราต้องเห็นความดีของเขา คนไทยรักในหลวง เพราะสัมพันธ์ความดีในหลวงทุกวัน มุสลิม รักอัลเลาะห์ สุดชีวิตจิตใจ สรรเสริญอัลเลาะห์วันละ 5 ครั้ง เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ชาวพุทธของเรารักพระพุทธเจ้ามาก ๆ ก็ขอให้สวดมนต์เจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสงฆคุณ อย่างน้อยก่อนนอนวันละครั้ง และถ้าเป็นไปได้อยากให้สร้างรัฐนิยม นายกรัฐมนตรีมีประชารัฐอยู่แล้วก็ให้เอารัฐนิยมมาบวกให้ทุกหน่วยงานก่อนเข้าทำงานขอเวลา 10 นาทีสวดมนต์เจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสงฆคุณ ตามแบบหนังสือที่อาตมามอบให้ และทุกคนที่มาที่นี่ปกติจะต้องสวดมนต์ ทั้งนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ มาก็สวดมนต์ไปแล้ว เหลือแต่นายกรัฐมนตรี เวลามีจำกัดเลยไม่ได้สวด อย่างไรก็ตาม หนังสือที่มอบให้ขอให้ไปอ่านในรถ
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ติดตามการก่อสร้างพระเมรุมาศจำลองที่วัดป่าเลไลยก์ และได้ตีระฆังศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 จำนวน 5 ครั้ง ตามความเชื่อของชาวสุพรรณบุรี ว่าจะสร้างชื่อเสียงให้ก้องกังวานตามเสียงระฆัง รวมทั้งขอพรใดๆ ก็จะได้ตามที่ขอ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่เคยขอพรให้ตนเองว่าจะขอเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ หรืออยู่สืบทอดอำนาจต่อ อย่างที่บิดเบือนกล่าวหากัน รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ส่วนข้อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือสนับสนุนงบเพิ่มขึ้น อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าการจัดเก็บภาษี มีข้อจำกัด ทั้งที่รัฐบาลพยายามไล่เก็บภาษีกับกลุ่มที่หลีกเลี่ยง แล้ว เช่นเดียวกับการขึ้นภาษีเหล้า บุหรี่ ไม่ใช่รัฐบาลถังแตกจนเก็บภาษีมากขึ้น แต่ความจริงเพื่อเป็นการสกัดนักดื่มและนักสูบหน้าใหม่ นี้คือหลักคิดที่ถูกต้อง ไม่ใช่ออกมาวิจารณ์รัฐบาลอย่างเดียวโดยไม่มีเหตุผล หรือกล่าวหาว่ารัฐบาลทุจริตนำเงินไปซื้ออาวุธหรือเอื้อประโยชน์ให้นายทุน หากมีหลักฐานขอให้มาแสดง ไม่ควรกล่าวหาลอยๆ เพราะทุกโครงการรัฐบาลคิดออกมาด้วยวามบริสุทธิ์ใจ ผมไม่เคยต้องการผลประโยชน์แม้แต่บาทเดียว หากมีใครอ้างรัฐบาลหาผลประโยชน์ ถ้าผมทราบจะจัดการอย่างเด็ดขาด” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนการเลือกตั้งที่หลายฝ่ายตั้งตารอ จะเป็นไปตามโรดแมปที่วางไว้ และเมื่อถึงเวลาขอให้ประชาชนเลือกคนดี ไม่ยุแยงตะแคงรั่ว ทำเพื่อประเทศ ไม่มีความขัดแย้งหรือการชุมนุมเหมือนที่ผ่านมา ขอทุกคนอย่าเลือกผิดอีก เพราะไม่สามารถเข้าไปแก้ปัญหาให้ได้อีกแล้ว ขณะที่การสร้างความปรองดองทุกพรรคการเมืองควรจะมาร่วมมือกับรัฐบาล คิดและร่วมวางนโยบาย ที่จะทำให้ประชาชนในอนาคต ไม่ใช่วิพากษ์วิจารณ์โจมตีแต่ไม่ช่วยเสนอแนะสิ่งที่เป็นประโยชน์ การสร้างความปรองดอง
“รัฐบาลไม่เคยคิดไล่ล่าใคร ทุกอย่างจะต้องเป็นประตามกระบวนการยุติธรรม ใครทำผิดมากก็ถูกดำเนินคดีมากเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนตัวไม่อยากให้มีการใช้กำลังเข้ามาแก้ปัญหาแบบรัฐบาลนี้อีก ซึ่งเวลาที่เหลือของรัฐบาลเป็นไปตามโรดแมป” นายกรัฐมนตรี กล่าว
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะเยี่ยมชมนิทรรศการโรงเรียนเกษตรกรชาวนา จังหวัดสุพรรณบุรี ข้าวนาแปลงใหญ่ ศูนย์การเรียนรู้เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตร ที่สถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติ และรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับชาวนา
ส่วนช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไป จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจเยี่ยมพื้นที่ทุ่งรับน้ำบ้านแพน ต.บ้านแพน อ.เสนา ซึ่งเป็นแก้มลิงตามธรรมชาติ ขนาดเนื้อที่ 5,780 ไร่ และเปิดโครงการ “เปิดน้ำเข้านา ปล่อยปลาเข้าทุ่ง” พร้อมเปิดประตูระบายน้ำบ้านแพน ซึ่งเป็นโครงการนำร่อง ที่ชาวบ้านให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ปลูกพืชตามคำแนะนำ ทำนา 2 ครั้งต่อปี และในช่วงหน้าฝน จะปล่อยน้ำเข้านา ให้เป็นพื้นที่รับน้ำ และทำประมง ถือว่าได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตลอดทั้งปี ไม่ว่าเป็นหน้าฝน หน้าร้อน หรือหน้าแล้ง
สำหรับช่วงเย็น นายกรัฐมนตรีจะเป็นการประชุมร่วมกับผู้ว่าฯ ภาคกลาง ภาคเอกชน นักธุรกิจ ในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ที่จะทำให้ จ.อยุธยาและภาคกลาง ปลอดภัยจากน้ำท่วม ด้วยการขุดแม่น้ำสายใหม่ บางบาล - นอนไทร รวมถึง การสร้างเขื่อนเพิ่ม 2 จุด ที่ปลายคลองบางพระครู และแม่น้ำลพบุรี เพิ่มศักยภาพการระบายน้ำ ด้วยงบลงทุน 700 ล้านบาท ขณะที่ เรื่องการท่องเที่ยว จะเป็นการพัฒนาโบราณสถานให้กลับมามีชีวิต เนรมิตอยุธยา เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยอาศัยจุดเด่นของพื้นที่