++ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ปรับปรุงถ้อยคำที่ใช้ในการส่งข้อความด่วนเตือนภัยให้สาธารณชนทราบกรณีมีขีปนาวุธต่างชาติถูกปล่อยมุ่งหน้ายังญี่ปุ่น หลังหลายคนร้องเรียนเรื่องระบบเตือนภัยฉุกเฉินทั่วประเทศหรือเจ-อเลิร์ตของรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม หรือช่วงที่เกาหลีเหนือปล่อยขีปนาวุธข้ามน่านฟ้าของญี่ปุ่น หลายคนร้องเรียนว่าพวกเขาไม่ทราบว่าควรจะหลบภัยอยู่ที่ใดจึงจะปลอดภัย ระบบเตือนภัยเดิมระบุว่า ขณะนี้ขีปนาวุธจะแล่นอยู่กลางอากาศเข้ามายังบริเวณนี้ แต่ถ้อยคำเตือนภัยใหม่จะบอกจุดสุดท้ายที่เห็นขีปนาวุธแล่นผ่านและจุดต่อไปที่ขีปนาวุธจะแล่นมุ่งหน้าไป เช่นถ้อยเตือนภัยปรับปรุงใหม่จะแจ้งว่า ขณะนี้ขีปนาวุธแล่นอยู่เหนือท้องฟ้าของภูมิภาคคันโต มุ่งหน้ายังมหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากนี้รัฐบาลยังปรับปรุงถ้อยคำการเตือนภัยครั้งแรกผ่านระบบเจ-อเลิร์ต เมื่อเห็นว่ามีความเสี่ยงที่ขีปนาวุธอาจจะตกในญี่ปุ่น นอกจากนี้ถ้อยคำเตือนภัยเดิมจะเตือนชาวบ้านให้หลบภัยอยู่ในอาคารที่มีสภาพแข็งแรงหรือหลุมหลบภัยใต้ดิน แต่ถ้อยคำเตือนภัยใหม่จะแนะนำเพียงว่าประชาชนควรจะหลบภัยอยู่ในอาคารหรือหลุมหลบภัยใต้ดิน
+++ก่อนหน้านี้ เกาหลีเหนือ ขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ให้จมหายไปในทะเลและโจมตีสหรัฐฯให้เสียหายอย่างหนักเหลือแต่ซากเถ้าถ่านเนื่องจากเป็นผู้ผลักดันให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอสซี)ลงมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือรอบใหม่ หลังการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 3 กันยายน
+++ประธานาธิบดีมุน แจอินของเกาหลีใต้กล่าวจะไม่ยอมให้สหรัฐฯเข้าไปติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในเกาหลีใต้ แต่ เห็นว่ามีความจำเป็นที่กองทัพเกาหลีใต้จะต้องพัฒนาขีดความสามารถของบุคคลากรในกองทัพฯให้สูงขึ้นหลังจากที่เกาหลีเหนือมีความคืบหน้าในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ด้านผลสำรวจของสำนักโพลล์แกลลัพ โคเรียของเกาหลีใต้ระบุว่าผลสำรวจเมื่อเร็วๆนี้บ่งชี้ว่าร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าเกาหลีใต้ควรสร้างอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาใช้เอง ขณะที่ร้อยละ 35 คัดค้าน ขณะเดียวกัน นายมุนจะเดินทางไปยังนครนิวยอร์ก สหรัฐฯในสัปดาห์หน้า เพื่อร่วมประชุมสมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติ การเยือนสหรัฐฯของเขามีขึ้นขณะที่หลายฝ่ายมองว่าเกาหลีใต้และสหรัฐฯเริ่มมีปัญหาร้าวฉานมากขึ้น
+++ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯลงพื้นที่ รับฟังปัญหาความเดือดร้อนจากประชาชนในรัฐฟลอริดาทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯหลังถูกพายุเฮอร์ริเคนเออร์มาพัดถล่มเมื่อสัปดาห์ก่อน นับเป็นการเยือนพื้นที่ประสบภัยพายุครั้งที่ 3 ในรอบไม่ถึง 3 สัปดาห์ โดยนายทรัมป์ พร้อมรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ จะตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบภัยในเมืองเนเปิ้ลส์ และเมืองฟอร์ตไมเออร์ ซึ่งอยู่ในแถบชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐฟลอริดาในวันนี้เพื่อพบปะกับประชาชนในพื้นที่และรับฟังปัญหาเกี่ยวกับการแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ของเจ้าหน้าที่ว่ามีอุปสรรคใดหรือไม่การเดินทางไปยังรัฐฟลอริดาครั้งนี้มีขึ้นหลังการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบภัยมา 2 ครั้งในรัฐเท็กซัส ทางภาคะตะวันออกของสหรัฐฯหลังถูกพายุเฮอร์ริเคนฮาว์วีย์พัดถล่มเมื่อปลายเดือนสิงหาคม โดยระหว่างการเยือนรัฐเท็กซัสครั้งแรกไม่นานหลังประสบภัยพายุ ผู้นำสหรัฐฯถูกหลายฝ่ายวิจารณ์ว่ามีปฏิสัมพันธ์หรือพูดคุยทักทายกับชาวบ้านน้อยมาก ทั้งไม่ได้ตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่เสียหายหนักอย่างแท้จริงคือเมืองฮิวสตัน ต่อมาในการเยือนพื้นที่ประสบภัยครั้งที่สองคือ เยือนรัฐเท็กซัส และรัฐหลุยเซียนา นายทรัมป์มีปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้านมากขึ้น เขาเยือนศูนย์พักพิงชั่วคราวในเมืองฮิวสตัน ซึ่งมีประชาชนหลายพันคนพักพิงอยู่ เขาเดินลุยน้ำท่วมตามท้องถนนในช่วงเวลาสั้นๆโดยไม่ห่วงว่าสิ่งของมีค่าส่วนตัวจะเปียกน้ำเสียหาย สภาพความเสียหายในภาพรวม สำนักงานบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐฟลอริดา ระบุว่าประชาชนราว 6.8 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั้งหมดในรัฐนี้ยังคงไม่มีกระแสไฟฟ้า เจ้าหน้าที่คาดว่าอาจจะใช้เวลา 10 วันหรือมากกว่านี้ การซ่อมไฟฟ้าจึงจะดำเนินการเสร็จครบทุกแห่ง ประชาชนที่ยังคงพักอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวมีราว 13,000 คน
+++เกิดเหตุมือระเบิดฆ่าตัวตายโจมตี 3 จุด คร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 50 ศพและบาดเจ็บกว่า 80 รายทางภาคใต้ของอิรักในวันพฤหัสบดี(14ก.ย.) ขณะที่กลุ่มรัฐอิสลาม(ไอเอส) ออกมาอ้างความรับผิดชอบ พันตำรวจเอก อาลี อับดุล ฮุสเซน เผยว่าเหตุโจมตีที่เข่นฆ่าชีวิตผู้คนมากที่สุดอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งทางตะวันตกของนาสซิริยา "มือระเบิดคนหนึ่งจุดชนวนระเบิดเสื้อกั๊กระเบิดภายในร้านอาหารที่เต็มไปด้วยผู้คน ในขณะที่กลุ่มมือปืนคนอื่นๆเริ่มโยนระเบิดและกราดยิงเข้าใส่ลูกค้าของร้าน"แหล่งข่าวตำรวจบอกว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายเสียชีวิตในเหตุโจมตีจุดตรวจด้วย แต่ยอดผู้เสียชีวิตยังไม่ชัดเจน
++++สื่อทางการเมียนมาอ้างว่า จีนเห็นด้วยกับการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธชาวมุสลิมโรฮิงญา แม้นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) จะระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดในรัฐยะไข่เป็นการกวาดล้างทางชาติพันธุ์ก็ตาม หนังสือพิมพ์โกลบอลนิวไลท์ออฟเมียนมารายงานโดยอ้างคำกล่าวของนายหง เลี่ยง เอกอัครราชทูตจีนในเมียนมาระบุว่า จีนมีจุดยืนชัดเจนต่อเรื่องก่อการร้ายในรัฐยะไข่ โดยเห็นว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายในประเทศ และว่า การตอบโต้กลุ่มก่อการร้ายและการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ของรัฐบาลเมียนมาเป็นสิ่งที่จีนให้การสนับสนุน โฆษกรัฐบาลเมียนมารายงานว่า มีสถานที่ 45 แห่งถูกเผาทำลาย หมู่บ้าน 176 แห่งจากทั้งหมด 471 แห่งทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ถูกปล่อยให้รกร้าง อีกทั้งยังกล่าวว่า ผู้ที่ลี้ภัยไปยังบังกลาเทศมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มติดอาวุธ หรือเป็นผู้หญิงและเด็กที่หลบหนีความขัดแย้งด้วย
+++ราคาน้ำมันวันพฤหัสบดี(14ก.ย.) ปรับราคาเพิ่มขึ้น หลังประเทศผู้ส่งออกรักษาสัญญาจำกัดการผลิต สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด เดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 59 เซนต์ ปิดที่ 49.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ ปิดที่ 55.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ดัชนีอุตสาหกรรมดาาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 45.30 จุด (0.20 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 22,203.48 จุด ทุบสถิติสูงสุดจาหุ้นโบอิ้ง ซึ่งปิดบวกร้อยละ1.36 ส่วนราคาทองคำในวันพฤหัสบดี(14ก.ย.) ปิดบวก ฟื้นตัวเล็กน้อยหลังจากขยับลงต่อเนื่องในช่วง 3 วันหลังสุด โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 1.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,329.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์
+++ในการให้สัมภาษณ์กับนายแอนเดอร์สัน คูเปอร์ พิธีกรของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเมื่อวานนี้ นางฮิลลารี คลินตัน อดีตผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตของสหรัฐฯกล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯควรจะยุบองค์กรคณะผู้เลือกตั้งหรือ อิเล็คทอรัล คอลเลจ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 538 คน ที่ถูกคัดเลือกมาจากระบบสัดส่วนตามจำนวนประชากรในแต่ละรัฐ เป็นผู้ทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดีแทนประชาชนส่วนใหญ่ นางคลินตันมองว่าระบบนี้มีจุดอ่อนที่ควรจะต้องแก้ไข และชี้ว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว ครั้งนั้นนางคลินตันได้คะแนนคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตมากกว่านายทรัมป์เกือบ 3 ล้านเสียง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอีกข้อหนึ่งที่เธอหยิบยกไปเป็นประเด็นการเขียนหนังสือบันทึกความทรงจำเล่มใหม่ชื่อ What happened ที่เพิ่งวางแผงจำหน่ายในร้านหนังสือในสหรัฐฯเมื่อวันอังคาร นางคลินตันเสนอให้มีการปฏิรูประบบการเมืองใหม่โดยยุบระบบคณะผู้เลือกตั้งและใช้ระบบคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตคือให้ประชาชนเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง
+++นางคลินตันแสดงความไม่พอใจต่อการทำงานของนายเจมส์ โคมีย์ อดีตผอ.หน่วยเอฟบีไอ ที่ถูกนายทรัมป์ปลดออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมาว่า เร่งร้อนผิดปกติในการส่งจดหมายต่อสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมปีที่แล้ว เพื่อขอรื้อฟื้นการสอบสวนใหม่กรณีเธอใช้ระบบเสิร์ฟเวอร์อีเมลส่วนตัวติดต่องานราชการ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้นเหลืออีกไม่กี่วันจะถึงวันเลือกตั้ง ระบุว่าเธอรู้ทันทีว่า วันนั้นถือเป็นอีกวันหนึ่งที่ฉุดรั้งกระแสความนิยมของเธอให้ลดฮวบลงทันที นอกจากนี้ นอกจากนี้เธอตำหนิตัวเองในหนังสือเล่มใหม่ของเธอด้วยว่าที่ผ่านมา เธอไม่เข้าใจผลดีผลเสียของระบบเลือกตั้งของสหรัฐฯอย่างถ่องแท้ และไม่เข้าใจถึงกระแสความเกลียดชังในสังคมอเมริกัน ซึ่งนายทรัมป์คือตัวละครการเมืองที่สื่อภาพลักษณ์นั้นได้อย่างชัดเจนที่สุด