รอยเตอร์รายงานอ้างสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(ไออีเอ)ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในกรุงปารีส ฝรั่งเศสว่า ปริมาณคลังน้ำมันสำรองทั่วโลกเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลพวงจากอุปสงค์หรือความต้องการใช้น้ำมันสูงเกินคาดในกลุ่มสหภาพยุโรป(อียู)และสหรัฐฯ ขณะเดียวกันการผลิตน้ำมันดิบลดลงในกลุ่มโอเปกและกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันที่ไม่ใช่กลุ่มโอเปก โดยไออีเอ ซึ่งทำหน้าที่ประสานนโยบายพลังงานของชาติอุตสาหกรรม ได้ปรับเพิ่มตัวเลขประมาณการณ์ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกขึ้นมาที่ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิม 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ไออีเอระบุว่า จากการประเมินล่าสุด นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าตลาดจะเริ่มตึงตัวและราคาจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ไม่มากนัก ที่ผ่านมาอุปสงค์ที่เติบโตอย่างเข้มแข็งในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมถือว่าเป็นปัจจัยข้อหนึ่งที่ทำให้มีอุปสงค์ด้านน้ำมันทั่วโลกเติบโตเป็น 2.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ นับว่าเป็นสถิติรายไตรมาสที่สูงที่สุดนับตั้งแต่กลางปี 2558 ส่วนในด้านอุปทานหรือปริมาณน้ำมันดิบที่ผลิตได้ทั่วโลกลดลง 7 แสน 2 หมื่นบาร์เรลต่อวันในเดือนสิงหาคมเป็นผลการหยุดผลิตจากเหตุความไม่สงบและการซ่อมบำรุงโรงผลิตน้ำมันดิบที่วางแผนไว้ล่วงหน้าในลิเบีย หนึ่งในสมาชิกกลุ่มโอเปกและกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันที่ไม่ใช่กลุ่มโอเปก เช่นรัสเซีย คาซัคสถาน อาเซอร์ไบจาน เม็กซิโกและประเทศอื่นๆในในแถบทะเลเหนือ นับเป็นการลดลงของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน
ก่อนหน้านี้การผลิตน้ำมันดิบจากกลุ่มโอเปกลดลงในเดือนสิงหาคมเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนหลังเกิดเหตุความไม่สงบในลิเบีย ทำให้การผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกลด 2 แสน 1 หมื่นบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 32.67 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ไออีเอ ประเมินเรื่องผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ ที่พัดถล่มแถบชายฝั่งทางตะวันออกของสหรัฐฯเมื่อไม่นานมานี้ว่าเริ่มคลี่คลายลงไปโดยลำดับและอาจจะมีผลกระทบต่อตลาดโลกในช่วงสั้นๆ ขณะเดียวกันจะมีผลให้คลังน้ำมันทั่วโลกต้องปรับสู่ระดับที่เหมาะสมให้เร็วขึ้น