+++ซีเอ็นเอ็น รายงานอ้างศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติสหรัฐฯว่า มีคนเสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ศพ หลังต้นไม้ล้มทับรถบรรทุกคันหนึ่งในเขตเทศมณฑลแจ็คสัน รัฐเท็กซัส หลังพายุโซนร้อนฮาร์วีย์ ขึ้นฝั่งครั้งที่ 2 ใกล้ชายแดนรัฐหลุยเซียนา-รัฐเท็กซัสเมื่อราว 05.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นเมื่อวานนี้ เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง มีความแรงลม 30-40 ไมล์ต่อชม.และคลื่นทะเล 2-4 ฟุต
+++ล่าสุด ระดับน้ำที่ท่วมเมืองฮูสตันเริ่มลดลง หน่วยกู้ภัย กู้ซากรถตู้คันหนึ่งที่ถูกกระแสน้ำซัด เชื่อว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตสมาชิกครอบครัวหนึ่งจำนวน 6 คนอยู่ภายในเนื่องจากสูญหายไปเมื่อวันอาทิตย์ นายอำเภอเอ็ด กอนซาเลซ เปิดเผยว่าตำรวจสามารถมองเห็นศพของผู้ใหญ่ 2 ศพตรงเบาะหน้า แต่ท่อนหลังของรถตู้ยังจมน้ำและยังไม่พบเห็นร่างของเด็กๆ
+++สื่อมวลชนสหรัฐฯคาดหมายว่าจนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตราวๆ 30 ศพจากอิทธิพลของพายุฮาร์วีย์ แต่เชื่อว่ายอดเหยื่อน่าจะสูงขึ้นกว่านี้เมื่อระดับน้ำลดลงแล้ว ขณะที่ตำรวจในฮูสตัน บอกว่ามีบุคคลที่ถูกแจ้งหายหรือยังหาตัวไม่พบ 17 ราย
+++บรรษัทกระจายเสียงเอ็นเอชเคของญี่ปุ่น รายงานว่านายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่นและนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษเริ่มต้นการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการในเกียวโต คาดว่าผู้นำทั้งสองจะพูดคุยประเด็นปัญหาระดับภูมิภาค รวมถึงเรื่องการยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นของเกาหลีเหนือ และจะหารือกับญี่ปุ่นเรื่องการก่อการร้ายระดับโลกและความมั่นคงระดับภูมิภาค
+++ผู้นำอังกฤษ เยือนญี่ปุ่น 3 วันเพื่อยืนยันกับญี่ปุ่นว่าอังกฤษจะสามารถรักษาผลประโยชน์ทางการค้าต่อไป หลังการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป(เบร็กซิต)ในอีก 2 ปีข้างหน้า และหวังผลักดันการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างกัน
+++นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตด้วย ปัจจุบันมีบริษัทญี่ปุ่นทำธุรกิจในอังกฤษกว่า 1,000 แห่ง จ้างงานชาวอังกฤษราว 1 แสน 40,000 คน ส่วนใหญ่ใช้อังกฤษเป็นฐานในการทำธุรกิจกับยุโรป แต่เบร็กซิทจะทำให้อังกฤษเสียใบเบิกทางในการติดต่อกับลูกค้าทั่วยุโรป ประกอบกับการเจรจามีความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งเริ่มพูดถึงการย้ายฐานธุรกิจจากกรุงลอนดอนไปยังเมืองอื่นในยุโรป แม้นายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษได้ย้ำเรื่องการลงทุนระหว่างกันเมื่อครั้งเยือนญี่ปุ่นเมื่อเดือนก่อน แต่บริษัทญี่ปุ่นยังคงต้องการความมั่นใจจากนายกรัฐมนตรีอังกฤษมากกว่า
+++ภายหลังเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธขีปนาวุธพิสัยปานกลาง ฮวาซอง-12 เมื่อวันอังคาร ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศว่า การกระทำที่คุกคามและบั่นทอนเสถียรภาพและจะทำให้เกาหลีเหนือ ถูกโดดเดี่ยวจากทั่วโลกมากขึ้น และทางเลือกทุกๆ อย่างยังอยู่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งเป็นการขู่กลายๆ ว่า สหรัฐฯพร้อมใช้กำลังทหารเพื่อโจมตีก่อน
+++คำแถลงดังกล่าวซึ่งร่างโดยสหรัฐฯ และได้รับฉันทามติจากสมาชิกทั้ง 15 ชาติ ไม่ระบุถึงการออกมาตรการลงโทษครั้งใหม่ต่อเกาหลีเหนือ เนื่องจากจีนและรัสเซีย ซึ่งเป็นสมาชิกถาวรที่มีสิทธิ์ใช้อำนาจยับยั้ง ไม่เห็นด้วยหากจะมีการแทรกมาตรการแซงก์ชันเอาไว้ ทั้งสองชาติยังเรียกร้องให้สหรัฐฯระงับการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธขั้นสูง ทาด ในเกาหลีใต้ อีกด้วย
+++หนังสือพิมพ์โรดอง ซินมุน ซึ่งเป็นปากเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ ที่ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าพรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลี ได้เผยแพร่ภาพการปล่อยฮวาซอง-12 เมื่อวันอังคาร จากสถานที่ใกล้ๆ กรุงเปียงยางกว่า 20 ภาพ หนึ่งในนั้นเป็นภาพนายคิม จอง อิล ยิ้มกว้าง บนโต๊ะตรงหน้ามีแผนที่แปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือกางอยู่ และมีผู้ช่วยรายล้อม
+++สำนักข่าวเคซีเอ็นเอ ของทางการเกาหลีเหนือ ถ่ายทอดถ้อยแถลงของนายคิม ที่กล่าวว่า เกาหลีเหนือจำเป็นต้องทดสอบยิงขีปนาวุธไปยังเป้าหมายในมหาสมุทรแปซิฟิกต่อไปอีกในอนาคต การทดสอบเมื่อวันอังคารเป็นแค่การโหมโรงเพื่อเป็นการขีดวงล้อมเกาะกวม ซึ่งเป็นด่านหน้าในการรุกรานเกาหลีเหนือของสหรัฐฯ และเป็นการโหมโรง เปิดการตอบโต้อย่างเด็ดเดี่ยวต่อการซ้อมรบของสหรัฐฯและเกาหลีใต้ ที่เชื่อว่า เป็นการเตรียมพร้อมรุกรานเกาหลีเหนือ
+++การโจมตีตำรวจโดยกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญา ในรัฐยะไข่ ทางภาคตะวันตกของเมียนมา เมื่อวันที่ 24 ส.ค. ทำให้ความรุนแรงในพื้นที่ลุกลาม มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 ศพ และชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 18,000 คน หลบหนีข้ามแดนเข้าสู่บังกลาเทศ ในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์
+++พระวีระธู แกนนำแนวร่วมต่อต้านมุสลิมในเมียนมา ที่รู้จักกันดีทางด้านการปราศรัยปลุกปั่น กล่าวต่อผู้ร่วมชุมนุมในย่างกุ้ง เมื่อวันพุธ ว่า กองทัพเท่านั้นที่สามารถควบคุมสถานการณ์ในรัฐยะไข่ได้ พร้อมกับโจมตีรัฐบาลพลเรือนของนางออง ซาน ซูจี ที่ไม่ตอบสนองอย่างว่องไว ต่อเสียงเรียกร้องจากกองทัพ ที่ต้องการให้จัดประชุมสภาความมั่นคงและกลาโหมแห่งชาติ เพื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในรัฐยะไข่ และให้อำนาจกองทัพอย่างเด็ดขาดในการปฏิบัติการด้านความมั่นคง
+++ศาลสูงกรุงโซลของเกาหลีใต้ ตัดสินจำคุก 4 ปี นายวอน เซฮุน วัย 66 ปี อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (เอ็นไอเอส) ข้อหาเป็นแกนนำหาเสียงใส่ความนายมุน แจอิน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ระหว่างการเลือกตั้งปี 2555 ที่นายมุน พ่ายให้แก่นางปัก กึนฮเย ประธานาธิบดีมุน พ่ายการเลือกตั้งปี 2555 ให้แก่นางปัก กลับมาชนะในการเลือกตั้งปี 2560 เมื่อนางปักถูกถอดถอนจากตำแหน่งคดีทุจริต เขาประกาศจะปฏิรูปเอ็นไอเอสไม่ให้เข้ามาแทรกแซงการเมืองในประเทศอีก และให้มุ่งหาข่าวกรองเกี่ยวกับเกาหลีเหนือและการต่างประเทศเพื่อนำวิเคราะห์เป็นหลัก
+++นายวอน เป็นผู้อำนวยการเอ็นไอเอสระหว่างปี 2552-2556 ศาลสูงกรุงโซล ระบุในคำตัดสินว่า เขาบงการการหาเสียงใส่ความผิดกฎหมาย หวังโน้มน้าวผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เลือกพรรครัฐบาลในขณะนั้น ฝ่าฝืนความเป็นกลางทางการเมืองของเอ็นไอเอสด้วยการกระจายความคิดเห็นสนับสนุนรัฐบาลผ่านการโพสต์ออนไลน์ ส่วนอดีตเจ้าหน้าที่เอ็นไอเอส 2 คนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานคบคิดกับนายวอน ศาลสั่งรอลงอาญา
+++ศูนย์สังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรีย (เอสโอเอสอาร์) แห่งอังกฤษ เปิดเผยว่า การยิงปะทะกันตั้งแต่เช้าวันอังคาร มีขึ้นขณะที่ทหารกองทัพซีเรีย กำลังรุกคืบเข้าหาเมืองรักกา ทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นแห่งสุดท้ายในซีเรียของกลุ่มไอเอส ทำให้นักรบไอเอสเสียชีวิต 38 ศพ ส่วนทหารและนักรบแนวร่วมเสียชีวิต 26 ศพ
+++ด้านกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ฮิวแมน ไรท์ วอทช์ แห่งนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ แถลงการณ์เรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระ สอบสวนชะตากรรมของประชาชนหลายพันคนที่สูญหายไปในสงครามกลางเมืองซีเรีย และตรวจหาหลุมฝังศพรวมขนาดใหญ่ ที่เหยื่อสังหารหมู่ถูกฝังอย่างลับๆ ทั่วประเทศ
+++สงครามซีเรียเริ่มเปิดฉากเมื่อกลางเดือน มี.ค. 2554 จากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ก่อนจะลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ และตลอดระยะเวลากว่า 6 ปี มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 3 แสน 30,000 ศพและกลายเป็นผู้พลัดถิ่นหลายล้านคน
CR:BBC