ศาลยกฟ้อง ในชั้นไต่ส่วนมูลฟ้อง คดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ปัจจุบันปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี, พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ในฐานะอดีตหัวหน้าชุดคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐจากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี2553 , พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่ 1- 4 ในความผิดฐานเป็นร่วมกันเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตและเป็นเจ้าพนักงานสอบสวน ซึ่งโจทก์เห็นว่าการแจ้งข้อหาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงและดีเอสไอไม่มีอำนาจ เพราะต้องเป็นการวินิจฉัยของ ป.ป.ช.
ศาลพิเคราะห์ พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่ มีเจตนาบิดเบือนแจ้งข้อกล่าวหาหรือกลั่นแกล้งโจทก์แต่อย่างใด โดยเหตุการณ์สั่งสลายการชุมนุมในปี 2553 พนักงานอัยการได้ยื่นไต่สวนชันสูตรสาเหตุการตายต่อศาลอาญาและศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยศาลได้มีคำสั่งว่าผู้เสียชีวิตบางรายจากกระสุนปืนความเร็วสูงที่ยิงมาจากฝั่งของเจ้าหน้าที่ทหาร ส่วนที่โจทก์ระบุว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองมีตำแหน่งทางการเมือง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจสอบสวน ป.ป.ช. ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 นั้น เห็นว่าคดีที่จำเลยได้ดำเนินการทำสำนวนและสั่งให้พนักงานอัยการนั้น เป็นมูลคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งอัยการสูงสุดก็ได้มีคำสั่งให้ฟ้องโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นไปตามอำนาจหน้าที่แล้ว ด้านนายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของนายสุเทพ เปิดเผยว่า จะปรึกษากับตัวโจทก์อีกครั้ง แต่คาดว่าจะอุทธรณ์คดีต่อไป ซึ่งเราเห็นว่าการสอบสวนเป็นเรื่องของ ป.ป.ช.