ศาล จ.ขอนแก่น พิพากษาคดีตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน โดยมีการปิดป้ายสีแดงว่าเป็นการพิจารณาคดีทางลับ และห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด มีเพียง องค์คณะตุลาการ, อัยการ, ทนายความ, จำเลย และครอบครัวของจำเลย เข้าร่วมรับฟังได้เท่านั้น ขณะที่บริเวณหน้าห้องพิจารณาคดี มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศาลประจำอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปภายในห้องพิจารณาคดี โดยมีกลุ่มสมาชิกดาวดินและผู้ที่ให้การสนับสนุนไผ่ ดาวดิน รออยู่ด้านหน้าห้องพิจารณาคดีจำนวนมากโดยศาลได้อ่านคำพิพากษาโดยใช้เวลานานกว่า 30 นาที ก่อนที่จะมีคำสั่งพิพากษาจำคุกผู้ต้องหา 5 ปี แต่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพจึงมีคำสั่งลดโทษครึ่งหนึ่ง คงเหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ กล่าวว่า จากคำสั่งจำคุกผู้ต้องหาตามความผิดประมลกฎหมายอาญา ม.112 ทั้งหมด 5 ปี แต่ด้วยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ จึงเห็นควรลดโทษลงครึ่งหนึ่ง โดยคงเหลือ 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้รับโทษมาตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.2559 ซึ่งจนถึงขณะนี้ผู้ต้องหานั้นจะครบกำหนดการคุมขัง 8 เดือน ในวันที่ 22 ส.ค. ที่จะถึงนี้ เท่ากับว่าผู้ต้องหาจะมีการนับวันคุมขังหลังมีคำพิพากษาในคดีนี้ต่อไปอีก 1 ปี 10 เดือน หรือ 22 เดือน สำหรับในการยื่นขออุทรณ์ต่อศาลหรือไม่นั้น คงต้องปรึกษากับครอบครัวและผู้ต้องหาอีกครั้ง ในการดำเนินการใดๆ ต่อไป ซึ่งมีเวลา 30 วันตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งนี้ผู้ต้องหายังคงเหลือการพิจารณาคดี ซึ่งขณะนี้อยู่ในชั้นศาล แยกเป็น ศาล มทบ.23 ว่าด้วยความมั่นคง และศาล จ.ภูเขียว ตามความผิดกฎหมายประชามติ ซึ่งทีมทนายความจะหารือร่วมกันในการต่อสู้คดีที่คงเหลือต่อไป
ขณะที่ นายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา บิดาของ ไผ่ ดาวดิน กล่าวว่า ก่อนที่ลูกชายผมจะให้การรับสารภาพ ศาลได้ขอพูดคุกันในห้องเป็นความลับ โดยมีผม มีแม่ไผ่ และไผ่ พูดคุยกับท่านผู้พิพากษา ว่าให้รับสารภาพ จากนั้นก็จะเข้าสู่การพิจารณาคดี รายละเอียดต่างๆ ผมไม่ขอบอก แต่บอกได้เพียงว่า เมื่อศาลพิจารณาคดีออกมาแบบนี้มันคนละเรื่อง แต่เมื่อมีคำสั่งมาแล้วเราก็ต้องดำเนินการในด้านต่างๆ ต่อไป คดีที่เหลืออีก 2 คดี เราก็สู้กันไป วันนี้กระบวนการยุติธรรมของไทยแสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นอย่างไร