นายกฯ เตรียมออกคำสั่ง ม.44 ให้ ขรก.เปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน /ครม.สัญจร รับฟังความเห็นประชาชน

หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ที่อยู่ในห้วงเวลานี้ จะต้องจับตาการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่ได่ให้ความสำคัญและไม่ให้เครดิตกับกลุ่มดังกล่าว แต่จะรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมากกว่า ทั้งนี้รัฐบาลกำลังหาทางช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยว่าจะช่วยเหลืออย่างไร ทั้งการลดราคาสินค้า หรือการดูแลเรื่องลดภาษีให้กับผู้ผลิตสินค้า รวมไปถึงกำลังพิจารณาให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงการประมูลในชิ้นงานของรัฐบาลได้โดยไม่ให้บริษัทใหญ่เข้ามาล้วงลูก แต่หากบริษัทเล็กทิ้งงานทางรัฐบาลก็จะขึ้นบัญชีดำ ทั้งนี้ยืนยันว่าตนเองไม่ช่วยใครเป็นการส่วนตัว เหมือนเรื่องการ ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่กำลังพิจารณาค่าปรับหลังจากรัฐบาลอนุโลมให้ขึ้นทะเบียนถึงเดือนธันวาคมนี้แต่ทางนายจ้างกับไม่ยอมนำแรงงานต่างด้าวมาขึ้นทะเบียน

ส่วนกรณีที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ออกมาระบุว่าองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้ประมาณโดยอ้างว่าการจัดสัมมนา แต่กลับนำไปใช้พามวลชนมาให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินและกระทรวงมหาดไทย ซึ่งหากเป็นเรื่องจริงก็ต้องถือว่าเป็นความผิด โดยต้องไปดูที่เจตนาว่ามีความบริสุทธิ์หรือไม่ หากต้องการมาให้กำลังใจและขับรถมาเองก็ไม่ห้ามแต่หากมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวด้วยก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิด ซึ่งตนเองไม่เคยห้ามเรื่องการมาให้กำลังใจ แต่จะต้องดูความเหมาะสม  ด้วยไม่ใช่การระดมคนเข้ามา  พร้อมกันนี้ยังย้ำว่าไม่ได้นำกฎหมายมาขู่ แต่จะไม่ยอมให้กฎหมายถูกละเมิดและหากมีการทำผิดก็จะไม่ปล่อยไว้เด็ดขาด 

ส่วนการตั้งสำนักงานบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่จะรวบรวมหน่วยงานด้านน้ำมาบูรณาการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ยังไม่ได้กำหนดว่าจะให้หน่วยงานใดมาสังกัด แต่ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ และคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน พิจารณาโครงสร้าง ซึ่งจะต้องมีคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อน เช่น งบประมาณ ว่าสิ่งใดทำได้ ทำไม่ได้ โดยให้นำงบประมาณเกี่ยวกับเรื่องน้ำของทุกกระทรวง มาพิจารณาแผนงานในปี 2560-2561 เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมให้ได้ รวมถึงการขุดลอกคูคลองทางลัดเพื่อระบายน้ำ ซึ่งขณะนี้ประชาชนเสนอแนวทางแก้ปัญหา ทั้งเรื่องการสร้างเขื่อน แต่ทำไม่ได้ เพราะ NGOs ต่อต้าน และมีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งรัฐบาลพยายามที่จะแก้ปัญหา และขอให้นึกถึงคนในพื้นที่ที่เดือดร้อน นี่เป็นปัญหาประชาธิปไตยที่มันไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เมื่อต้องการระบบชลประทานแต่ไม่ให้สร้างเขื่อน แล้วจะให้ทำอย่างไร ใครมาเป็นรัฐบาลก็ทำไม่ได้ เพราะประชาชนขัดแย้งกันเอง

โดยในวันนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายได้เรียกทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือ เพื่อกำหนดแนวทางการทำงาน ก่อนจะออกคำสั่ง ม.44 ส่วนข้อเสนอให้ข้าราชการเปิดเผยทรัพย์สิน นั้นว่า ต้องศึกษาว่าจะต้องมีการเปิดเผยของข้าราชการระดับใดบ้าง ซึ่งเบื้องต้นได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านทุจริตแห่งชาติ(ศอ.ตช.)ไปศึกษา โดยแนวทางดังกล่าวถือเป็นการป้องกันการทุจริตที่เกิดขึ้นในข้าราชการ   ส่วนตัวมองว่าควรให้พ่อค้า เอกชนและเจ้าของบริษัทที่มาร่วมโครงการของรัฐจะต้องมีการแสดงทรัพย์สินด้วย เพราะข้าราชการที่ไม่ดีย่อมเรียกรับผลประโยชน์จากคนกลุ่มนี้ จึงต้องพิจารณาทั้ง 2 ทาง 

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า หากมีการตรวจสอบข้าราชการทุกคนทุกระดับ ยอมรับว่าคงจะเกิดความยุ่งยาก แต่หากทำได้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี  เพราะไม่ต้องการให้เกิดการรับสินบนขึ้นอีก ทั้งนี้ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันสร้งความเข้าใจเพราะไม่อยากให้ข้าราชการถูกมองเป็นผู้ร้ายแต่ฝ่ายเดียว

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนในเชียลมีเดียต่อการปฎิรูปรถเมล์ที่มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางและชื่อสายที่ทำให้คนสับสน ว่า ความตั้งใจดี เพื่อให้ประชาชนเข้าใจในเรื่องการปรับเปลี่ยนเส้นทางของรถเมล์ ไม่เช่นนั้นหากเปลี่ยนทันทีก็จะถูกตำหนิได้และประชาชนจะเกิดความสับสนยิ่งกว่า แต่ทั้งนี้ส่วนตัวได้ย้ำไปในการประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วว่า ภายในสิ้นปีนี้จะต้องได้รถเมล์เอ็นจีวี ทั้ง 400 กว่าคันมาเพื่อเป็นของขวัญให้กับให้ประชาชนได้นั่ง ส่วนกรณีทีมีปัญหาเรื่องราคากลาง ที่ต้องการจะได้ราคาที่ถูกที่สุดจึงจำเป็นจะต้องให้บริษัทเก่าที่เป็นปัญหา เนื่องจากใช้รถประกอบซึ่งเสียภาษีเพียงร้อยละ 30 แต่หากเป็นรถนำเข้า จะเสียภาษีร้อยละร้อย ซึ่งจะทำให้ต้องซื้อรถเมล์ในราคาที่แพงกว่า ดังนั้น จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาว่าจะใช้ทั้ง 2 แนวทางควบคู่กันได้หรือไม่ ขณะเดียวกันได้ให้ผู้ประกอบกิจการ ประกอบรถในประเทศเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่การประมูลเพื่อสร้างอุตสากรรมในประเทศที่ทางหนึ่งด้วย