+++พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ชี้แจงเรื่องการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการน้ำ โดยให้กรมทรัพยากรน้ำมาสังกัดภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเรื่องการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ที่ผ่านมาไม่มีการเชื่อมโยงกัน รวมถึงสั่งการวางกรอบนโยบายดูแลงบประมาณในการบูรณาการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
+++นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่า ในวันที่ 15 ส.ค. หลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะนัดอธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา มาคุยถึงเรื่องการ บูรณาการในการทำงานร่วมกัน
+++ครบรอบ 120 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับรัสเซีย นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และพบหารือนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หารือความร่วมมือรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์ ซึ่งรัสเซียต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดตั้งศูนย์รักษาความปลอดภัยไซเบอร์ของอาเซียนด้วย
+++นายลาฟรอฟ กล่าวว่า ไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของรัสเซียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดระยะเวลา 120 ปีของความสัมพันธ์ที่ดีทั้ง 2 ประเทศ มีความร่วมมือกันหลายด้าน ปัจจุบันนักลงทุนรัสเซีย สนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มว่า ชาวรัสเซียมาท่องเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เฉพาะช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ยอดนักท่องเที่ยวรัสเซียในไทย เพิ่มจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 37
+++ด้านนายดอน กล่าวว่า ไทยและรัสเซีย มีความร่วมมือกันทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี โดยรัสเซีย มีบทบาทในอาเซียนหลายด้าน เช่น ร่วมมือกับไทยและชาติสมาชิกอาเซียนอื่น ทั้งด้านเศรษฐกิจ จัดการปัญหาการก่อการร้าย แก้ปัญหายาเสพติด รักษาสันติภาพ รัสเซียยังเป็น 1 ในประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย ช่วงครึ่งแรกของปี มูลค่าการค้าระหว่างไทย-รัสเซีย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 2 เท่า ทั้งนี้ ต่างก็ตั้งเป้าให้มูลค่าการค้าระหว่างกัน ทะลุ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 350,000 ล้านบาท ให้ได้ภายในปี 2563 หลังการพบหารือกับนายดอน นายลาฟรอฟ จะเข้าพบ พล.อ. ประยุทธ์ และจะเข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในวันนี้
+++ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเสียงข้างมากให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) จำนวน 7 คน ประกอบด้วย นางยุพิน ชลานนท์นิวัฒน์ (ด้านการตรวจเงินแผ่นดิน) นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ (ด้านกฎหมาย) นางสาวจินดา มหัทธวัฒน์ (ด้านบัญชี) พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ (ด้านการตรวจสอบภายใน) นายวีระยุทธ ปั้นน่วม (ด้านการเงินการคลัง) นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) (ด้านอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการตรวจเงินแผ่นดิน) และ ศ.อรพิน พลสุวรรณ์ สบายรูป (ด้านกฎหมาย) นอกจากนั้น ที่ประชุมสนช. มีมติเอกฉันท์ 198 คะแนนเห็นชอบให้นายเข็มชัย ชุติวงศ์ รองอัยการสูงสุดดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด
+++การติดตามตัวนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ผู้ต้องหาขับรถชนตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 นายอำนาจ โชติชัย อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ส่งเอกสารคำร้องขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน มาให้อัยการสำนักงานต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว แต่ในเอกสารไม่ได้ระบุแหล่งที่อยู่ประเทศที่ผู้ต้องหาหลบหนี ซึ่งอัยการสำนักงานต่างประเทศ ยังไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ ต้องรอสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุที่อยู่เป็นหลักแหล่งของผู้ต้องหามาก่อน หากทราบก็จะประสานประเทศนั้นๆที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อขอตัวกลับมาดำเนินคดีประเทศไทย ได้เร่งรัดให้ตำรวจ ระบุที่อยู่มาเข้าใจว่าตำรวจก็เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเช่นกัน หากล่าช้า อาจจะไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องได้ เนื่องจากข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือจะหมดอายุความวันที่ 3 กันยายน 2560 แต่ก็ยังเหลือข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีอายุความ 15 ปี
+++นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย พร้อมทนายความเข้าพบ พนักงานสอบสวน บก.ปอท. ตามที่ได้รับการประสานงานเชิญตัวมาลงบันทึกประจำวันเพิ่มเติม และให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ได้เข้าไปลงบันทึกประจำวันเสร็จสิ้นแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าจะนำตัวไปฝากขังศาลอาญา ซึ่งปฏิเสธ และยืนยันว่าอำนาจการควบคุมนั้นหมดลงแล้ว เข้าข่ายผิดกฎหมาย ยืนยันว่าจะดำเนินคดีแน่นอน พนักงานสอบสวนจึงได้ปล่อยตัวออกมาโดยไม่มีการตั้งข้อแม้ใดๆ นายวัฒนา คาดว่า น่าจะเชื่อมโยงกับวันที่ 25 ส.ค.นี้ ที่จะมีการตัดสินคดีจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
+++การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปิดตลาดปรับตัวขึ้น 0.13 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,571.64 จุด มูลค่าการซื้อขาย 33,209.81 ล้านบาท
+++การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีนิเคอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ญี่ปุ่น ลบ 8.97 จุด ปิดที่ 19,729.74 จุด
+++ดัชนีฮั่งเส่ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 313.09 จุด ปิดที่ 27,444.00 จุด เกาหลีเหนือได้เน้นย้ำแผนที่จะยิงขีปนาวุธใส่เกาะกวม ซึ่งเป็นที่ตั้งฐานทัพแห่งหนึ่งของสหรัฐในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยทางกองทัพเกาหลีเหนือวางแผนว่าจะยิงขีปนาวุธจำนวน 4 ลูกบริเวณรอบเกาะกวม
+++บีบีซี รายงานอ้างเจ้าหน้าที่รัฐบาลอิรักว่านายกรัฐมนตรีไฮเดอร์ อัล-อะบาดี มีคำสั่งให้ข้าราชการทั้งหมดลากิจ 1 วันในวันนี้หลังคลื่นความร้อนพัดถล่ม มีอุณหภูมิสูงกว่าปกติในช่วงนี้ เจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศของอิรักคาดว่าอุณภูมิในกรุงแบกแดด จะสูงถึง 50 องศาเซลเซียสในช่วงบ่ายวันนี้ นอกจากนี้ คาดว่าจะเกิดคลื่นความร้อนในหลายเมืองรวมถึงเมืองบัสรา และโมซุล
+++นอกจากนั้น อิทธิพลจากคลื่นความร้อนในระยะนี้อาจจะทำให้กระแสไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง จะทำให้ครัวเรือนและภาคธุรกิจในหลายท้องที่ทั่วประเทศอิรักไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้และไม่สามารถเปิดเครื่องปรับอากาศไปอีกหลายวัน นอกจากนั้นทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางและหลายพื้นที่ของยุโรปมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เตือนว่าอากาศร้อนจัดอาจจะทำให้มีประชาชนในยุโรปเสียชีวิตปีละ 52,000 ศพ ภายในปี 2643 ถ้าหากทั่วโลกยังไม่ดำเนินมาตรการเพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง
+++ซีเอ็นเอ็น รายงานอ้างนายแอนดรูว์ แมธธิวส์ ตำรวจอังกฤษ เปิดเผยว่า เกิดเหตุรถเมล์สองชั้นคันหนึ่งเสียหลักพุ่งชนร้านค้าในย่านที่มีผู้คนพลุกพล่านแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน มีคนบาดเจ็บ 6 คน ขณะเกิดเหตุ เขาได้ยินเสียงคนตะโกนดังลั่นขณะเกิดอุบัติเหตุ เขาสังเกตเห็นรถบัสเสียหลักพุ่งชนหลังร้าน อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดบริเวณเนินเขาลาเวนเดอร์ ฮิลล์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน ก่อนเวลา 07.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของวันนี้ คนขับรถเมล์ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หน่วยกู้ภัยสามารถช่วยเหลือผู้โดยสาร 2 คนที่ติดอยู่บริเวณชั้นสองของรถเมล์ ลงมาได้อย่างปลอดภัย หน่วยรถพยาบาลฉุกเฉินประจำกรุงลอนดอน ระบุว่า หน่วยกู้ภัยได้ปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ 6 คนในที่เกิดเหตุหลังส่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยและเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยลำหนึ่งไปยังจุดเกิดเหตุ ด้านทีมดับเพลิงกรุงลอนดอน ได้ส่งรถดับเพลิง 2 คันและทีมดับเพลิง 3 หน่วยรีบเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ
+++สภาเนปาล ผ่านร่างกฎหมายลงโทษผู้ขับไล่หญิงสาวมีประจำเดือนออกจากบ้านและบังคับให้อยู่ในสถานที่สกปรกและไม่ปลอดภัย อาทิ กระท่อมและโรงรีดนมวัว จนกว่าประจำเดือนจะหมด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาเนปาล เปิเผยว่า กฎหมายฉบับใหม่ กำหนดให้ผู้ฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับ 3,000 รูปีเนปาล (ราว 970 บาท) การขับไล่หญิงสาวมีประจำเดือนออกจากบ้านให้ไปอยู่ที่อื่นตามขนบธรรมเนียมของศาสนาพราหมณ์ฮินดูโบราณ ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในเนปาล แต่ก็ยังมีการปฏิบัติกันเรื่อยมา ส.ส. คนหนึ่งกล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคมปีหน้า จะช่วยลดปัญหาการขับไล่หญิงสาวออกจากบ้านได้ เพราะเกรงกลัวต่อบทลงโทษทางกฎหมาย กฎหมายใหม่ยังครอบคลุมเรื่องการใช้น้ำกรดเป็นอาวุธโจมตีและการเรียกสินสอดทองหมั้นด้วย
แฟ้มภาพ