ไฟไหม้อาคารสูง79ชั้นในดูไบ/สหรัฐคว่ำบาตร รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือเพิ่ม/ทรัมป์คะแนนนิยมตกเหลือร้อยละ 33

*ทันสถานการณ์โลกเวลา 06.30น.*

+++เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเร่งดับเพลิง ไฟไหม้อาคารสูง 79 ชั้น ในนครดูไบ สหรัฐอาหรับอิมิเรต์ สำนักงานป้องกันพลเรือนกล่าวว่าอาคารดังกล่าวได้รับการอพยพแล้วและหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินพยายามที่จะทำให้เกิดไฟไหม้ภายใต้การควบคุม ไม่มีรายงานการผู้ได้บาดเจ็บหรือ เสียชีวิต และขณะนี้ ไฟนานสามชั่วโมงอาคารแห่งนี้ สูงที่สุดในโลกสร้างเสร็จเมื่อปี2554 มีห้องพัก 676 ห้องพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมงและพื้นที่ค้าปลีก 6 แห่งและก่อนหน้านี้ ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ในเดือนกุมภาพันธ์เมื่อปี 2015

+++หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯลงนามบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่กับรัสเซีย อิหร่านและเกาหลีเหนือ ประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานีของอิหร่านว่าการคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่ของสหรัฐฯถือว่าผิดข้อตกลงนิวเคลียร์ที่อิหร่านลงนามไว้กับชาติมหาอำนาจของโลกเมื่อปี 2558 นับว่าเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้กับนายโรฮานี ซึ่งเริ่มต้นทำหน้าที่บริหารประเทศสมัยที่สอง ระบุว่าอิหร่านจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างเหมาะสมต่อไป  ก่อนหน้านี้ นายโรฮานีประกาศจะเดินหน้าความพยายามเพื่อยุติการโดดเดี่ยวอิหร่านของประชาคมระหว่างประเทศ ขณะเข้าทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งต่อหน้าอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน หลังชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม พิธีสาบานตนรับตำแหน่งจัดขึ้นไม่ถึง 24 ชม.หลังประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่

+++ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความหงุดหงิดที่สงครามอัฟกานิสถานยังไม่อาจยุติลงได้เสียที พร้อมเสนอแนะต่อรัฐมนตรีกลาโหม เจมส์ แมตทิส และประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม พล.อ.โจเซฟ ดันฟอร์ด ว่าควรพิจารณาปลด พล.อ.จอห์น นิโคลสัน ผู้บัญชาการกองทหารสหรัฐฯในอัฟกานิสถาน โทษฐานไม่สามารถชนะสงครามนี้

+++ผลการสำรวจของมหาวิทยาลัยควินนิเปียกพบว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับคะแนนนิยมต่ำเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ที่เขาเข้ารับตำแหน่ง นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้รับคะแนนความไม่พึงพอใจจากผู้ถูกสำรวจสูงเป็นประวัติการณ์ มีชาวอเมริกันเพียงร้อยละ33 ที่มีความพึงพอใจต่อการทำงานของปธน.ทรัมป์ เมื่อเทียบกับระดับ ร้อยละ 40 ในการสำรวจในเดือนมิ.ย. ขณะเดียวกัน ผู้ถูกสำรวจ ร้อยละ 61 แสดงความไม่พึงพอใจต่อการทำงานของปธน.ทรัมป์ด้านกระทรวงการต่างประเทศาหรัฐ ได้ออกมาตรการห้ามพลเมืองเดินทางไปยังเกาหลีเหนือ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ชาวอเมริกันอาจถูกจับกุมและคุมขังเป็นเวลานาน โดยชาวอเมริกันที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปยังเกาหลีเหนือ ต้องได้รับการอนุมัติพาสปอร์ตพิเศษ ซึ่งจะออกให้ภายใต้เหตุผลเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น จะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย. โดยรัฐบาลสหรัฐได้ขอความร่วมมือให้ชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในเกาหลีเหนือเดินทางกลับประเทศก่อนวันดังกล่าว

+++นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่นเปิดเผยรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แล้วหวังกอบกู้ภาพลักษณ์รัฐบาลที่เต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาวและคะแนนนิยมร่วงต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือนายอิทสึโนริ โอโนเดระ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการป้องกันประเทศที่กลับมาเป็นเจ้ากระทรวงนี้อีกครั้งหลังจากอยู่ในตำแหน่งนี้ร่วม 2 ปีเมื่อครั้งอาเบะเข้ารับตำแหน่งในปลายปี 2555 มองกันว่านายอาเบะต้องการให้นายโอโนเดระกู้ชื่อเสียงกระทรวงที่อื้อฉาวจากเรื่องปกปิดข้อมูลจนนางโทโมมิ อินาดะ ต้องลาออกจากตำแหน่งนี้เมื่อสัปดาห์ก่อน  อีกคนคือนายทาโร โคโนะ อดีตประธานคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะแห่งชาติที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ แทนนายฟูมิโอะ คิชิดะ ซึ่งย้ายไปรับบทบาทสำคัญในพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) นอกจากนี้ยังมีนางเซโกะ โนดะ ที่เคยจะชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแอลดีพีกับนายอาเบะเมื่อ 2 ปีก่อน ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกิจการภายในและการสื่อสาร เชื่อกันว่าอาเบะดึงเธอเข้ามาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่มีฐานเสียงจากสมาชิกพรรคที่กว้างขึ้นกว่าเดิม ส่วนรัฐมนตรีคลัง รัฐมนตรีเศรษฐกิจและหัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรียังเป็นคนเดิมคือนายทาโร อาโสะ นายฮิโรชิเกะ เซโกะ และนายโยชิฮิเดะ สุกะ

+++ราคาน้ำมันปรับลดในวันพฤหัสบดี(3ส.ค.) ท่ามกลางความกังวลต่อกำลังผลิตระดับสูงของโอเปก สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด เดือนกันยายน ลดลง 56 เซนต์ ปิดที่ 49.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 35 เซนต์ ปิดที่ 52.01 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่การส่งออกน้ำมันดิบของโอเปกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกรกฏาคม

+++ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 9.86 จุดปิดที่ 22,026.10 จุด นักวิเคราะห์คาดหมายว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะมีการจ้างงานเพิ่มเติม 181,000 อัตราในเดือนกรกฎาคม และตัวเลขคนว่างงานน่าจะลดลงร้อยละ  0.1 เหลือ ร้อยละ4.3    ส่วนราคาทองคำปิดลบแคบๆ นักลงทุนรอข้อมูลซึ่งจะบ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อจากรายงานการจ้างงานประจำเดือน โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 4.00 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,274.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์

+++นายสตีเฟน แม็คกาวน์ ชาวแอฟริกาใต้วัย42 ปีที่ถูกสมาชิกกลุ่มอัลกออิดะห์อิสลามิกมาเกร็บ (เอคิวไอเอ็ม)ในประเทศมาลีบุกเข้าลักพาตัวไปจากโรงแรมที่พักในเมืองทิมบุกตูทางภาคเหนือของประเทศมาลีและถูกจับเป็นตัวประกันตั้งแต่ปี 2554 ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 29 กรกฏาคมและเดินทางกลับไปอยู่กับครอบครัวในแอฟริกาใต้แล้ว หลังถูกลักพาตัวไปพร้อมกับนายโจฮัน กุสตาฟส์สัน ชาวสวีเดนและนายซจาค ริจเก ชาวดัตช์ ต่อมานายกุสตาฟส์สันได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนมิถุนายน ขณะที่นายริจเกได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนเมษายน 2558 โดยการช่วยเหลือของกองกำลังพิเศษของฝรั่งเศส ส่วนภริยาของนายริจเกสามารถหลบหนีออกมาได้ระหว่างกองกำลังหน่วยพิเศษของฝรั่งเศสบุกโจมตีกลุ่มอัลกออิดะห์เพื่อเข้าช่วยเหลือตัวประกันในโรงแรมแห่งหนึ่งส่วนชาวเยอรมันคนหนึ่งที่ขัดขืนการถูกจับเป็นตัวประกันถูกคนร้ายฆ่าตาย ที่กลุ่มอัลกออิดะห์เอคิวไอเอ็ม เป็นหนึ่งในกลุ่มนักรบจีฮัดที่ยึดพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศมาลีเมื่อปี 2555 ก่อนจะถูกหน่วยปฏิบัติการพิเศษของฝรั่งเศสปราบปรามบุกเข้าปราบปรามเมื่อปี 2558

+++ศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 18 เดือนสำหรับนางแทมมี เดวิด-ชาร์ลส พยาบาลออสเตรเลีย จากความผิดฐานเปิดคลินิคทำธุรกิจรับจ้างตั้งครรภ์ให้กับสตรีที่มีบุตรยากหรือรับจ้างอุ้มบุญ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ผิดกฏหมายในกัมพูชา ก่อนหน้านี้เธอถูกจับกุมในกรุงพนมเปญเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ไม่นานหลังรัฐบาลกัมพูชาสั่งห้ามไม่ให้มีการทำธุรกิจรับจ้างอุ้มบุญในกัมพูชา ตลอดการไต่สวนที่ผ่านมา นางเดวิด-ชาร์ลส วัย 49 ปี ปฏิเสธทุกข้อหา ระบุว่าเธอเพียงแต่ให้ดูแลทางการแพทย์ให้กับสตรีที่รับอุ้มบุญเพื่อให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงเท่านั้น แต่จากการไต่สวนศาลพบว่าเธอมีความผิดฐานทำหน้าที่ผู้ติดต่อประสานงานโดยตรงระหว่างครอบครัวที่มีปัญหาในการมีบุตรกับสตรีที่รับจ้างอุ้มบุญ ที่ผ่านมาธุรกิจรับจ้างอุ้มบุญได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  หลายประเทศในภูมิภาคนี้ ออกกฎหมายห้ามทำธุรกิจดังกล่าว โดยเฉพาะประเทศไทยห้ามสตรีไทยรับจ้างอุ้มบุญให้กับชาวต่างชาติเมื่อปี 2558 หลังเกิดคดีเอื้อฉาวในเรื่องนี้มาหลายคดี ส่งผลให้ธุรกิจนี้ไปเฟื่องฟูในกัมพูชา ต่อมารัฐบาลกัมพูชาจึงออกกฏหมายห้ามทำธุรกิจนี้เช่นเดียวกัน แต่ธุรกิจรับจ้างอุ้มบุญก็ยังเฟื่องฟูในประเทศอื่นๆที่ยังไม่มีกฏหมายควบคุมเรื่องนี้ เช่นประเทศลาว