นายกฯ แจงยังไม่ได้ยึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์ สั่งแจงเพิ่ม ย้ำแผนสมช.ดูโครงสร้างการทำงาน

26 กรกฎาคม 2560, 15:20น.


หลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่าที่ประชุมสมช.มีการพิจารณา เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทต่างๆของประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงในโลกทั้งในเรื่องของความมั่นคงภายใน ความมั่นภายนอกและประชาคมต่างๆ โดยวันนี้ได้ให้แนวทางโดยไม่เน้นในด้านการทหารไทยอย่างเดียวแต่เน้นบูรณาการเพื่อครอบคุมคลุมในทุกมิติ พร้อมพูดคุยถึงแผนแม่บท และยุทธศาสตร์ชาติต่างๆ ได้ยกเรื่องภัยรับมือการก่อการร้ายซึ่งจะต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเพื่อให้สอดคล้องเกิดความร่วมมือในนานาประเทศและในประเทศ โดยทำแผนต่างๆให้พร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนของ สมช.เป็นแผน 5 ปี พร้อมเน้นย้ำให้ดูแลในเรื่องของโครงสร้างของการทำงาน และสมช.จะเป็นหน่วยงานความมั่นคงของประเทศรัฐบาลจึงต้องดูว่าจะปรับเปลี่ยนในด้านไหนบ้าง ทั้งในรูปแบบขององค์กรและเครื่องมือ เพื่อที่จะผลิตเครื่องมือต่างๆให้รัฐบาลได้ใช้ประโยชน์ เพื่อเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงของรัฐบาลให้เป็นจริงให้ได้



ขณะเดียวกันในวันนี้ได้มีการติดตามผลการดำเนินการในเรื่องระบบติดกล้องโทรทัศน์วงจรปิดซีซีทีวี ซึ่งมีทั้งหมดทั่วประเทศกว่า 300,000 ตัว ทั้งของรัฐและเอกชน  โดยได้สั่งการให้การซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด และปรับเปลี่ยนบางพื้นที่เพื่อคุณภาพความทันสมัย  ทั้งในพื้นที่สาธารณะ แต่หากเป็นของเอกชนจะขอให้กระทรวงการคลังออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือ



นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงช่วงเวลาที่จะมีการตัดสินคดีสำคัญหลายคดี โดยระบุว่า ทุกคดีมีความสำคัญเท่ากันหมด ขออย่าจับจ้องแค่คดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างเดียว ซึ่งตัวเองก็ยังไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูก เพราะเป็นเรื่องของศาล แต่ขออย่าละเมิดศาล พร้อมย้ำด้วยว่าการเคลื่อนไหวนอกศาล การปลุกระดม และการพูดบิดเบือนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย



นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ข้อสำคัญที่อยากชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ คือ การบังคับยึดทรัพย์ ต่างๆ ของนางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นเพียงการเตรียมการของเจ้าหน้าที่เท่านั้น เพราะในช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าใครจะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและเมื่อหมดวาระแล้วก็จะต้องตรวจสอบเป็นปกติตามขั้นตอน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะยึดทรัพย์โดยทันที เนื่องจากต้องรอผลการตัดสินของศาลจึงจะสามารถดำเนินการได้ พร้อมยืนยันว่า ไม่ใช่การเตรียมการเพื่อจะไปยึดทรัพย์ก่อน



ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีการสั่งการให้กรมบังคับคดี รวมถึงกระทรวงการคลัง ที่เป็นคนรวบรวมข้อมูลให้มีการชี้แจงเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวด้วย พร้อมทั้งสั่งการว่า หากอะไรที่ยังไม่ถึงเวลาก็ไม่ต้องพูด เพราะอาจจะกลายเป็นการจงใจรังแก



ขณะเดียวกันได้ฝากไปยังประชาชนขอให้เข้าใจกระบวนการของเจ้าหน้าที่ด้วย หากมีการตรวจสอบพบว่าผิดจริงก็ต้องดำเนินการและหากไม่มีความผิดก็ไม่สามารถไปยึดทรัพย์ใครได้ พร้อมย้ำว่าวันนี้ตนไม่ได้บอกว่าใครผิดใครถูกเพราะเรื่องการตัดสินคดีเป็นอำนาจของศาล



นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง การใช้มาตรา 44 สั่งตรวจสอบข้าราชการ รวมถึงข้าราชการทางการเมือง กว่า 70 คน ว่า เป็นการออกคำสั่งเพื่อทำการสอบสวนก่อน โดยให้หยุดการปฎิบัติหน้าที่ไปก่อน เพื่อไม่ให้มีอำนาจสั่งการ  และให้การตรวจสอบง่ายขึ้น แต่ไม่มีการบรรจุหรือแต่งตั้งคนอื่นมาทดแทน ซึ่งยืนยันว่าจะดำเนินการสอบสวนอย่างเร็วที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีข้าราชการที่ทำผิดถึงร้อยละ 40 แต่ยังไม่มีการปลดออกจากตำแหน่งเพราะเรื่องยังไม่ส่งถึงศาล



ส่วนการใช้มาตรา 44 จะทำให้ข้าราชการไม่กล้าทุจริตหรือไม่ ส่วนตัวอยากให้ถามข้าราชการเอง หากจิตสำนึกไม่ได้ก็จะยังมีการทุจริตอยู่นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง เรื่องสัญญาประชาคม 10 ข้อ ว่าก็เคยเป็นข้าราชการ หากไม่มีเรื่องที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยก ก็จะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องและอยากให้ไปดูทหารว่าปฎิบัติหน้าที่อย่างไรบ้าง รวมถึงให้ไปดูพฤติกรรมของอีกฝ่าย เช่นยิงใส่ศาล และสถานที่ต่างๆ เหมาะสมหรือไม่ ยืนยันว่าไม่เข้าข้างใคร และเชื่อว่าทหารคงไม่อยากทำ



การจัดทำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญทั้ง 10 ฉบับ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้กระบวนการจัดทำกฎหมายยังอยู่ในชั้นของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ  สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งยังไม่มีกฎหมายฉบับใด นำขึ้นทูลเกล้า ฯ เพื่อขอประกาศใช้ พร้อมขออย่าห่วงเพราะได้เขียนให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนเช่นที่ผ่านมา โดยยืนยันว่าไม่ได้สกัดกั้นใคร



ผู้สื่อข่าว:ปิยะธิดา เพชรดี 



 

ข่าวทั้งหมด

X