องคมนตรี เร่งรัดระบบส่งน้ำ ส่งเสริมการเพาะปลูกในโครงการพระราชดำริที่มีการสร้างอ่างเก็บน้ำเขตลุ่มน้ำป่าสัก

การติดตามความก้าวหน้าโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่เขตลุ่มน้ำป่าสัก โดยนายจรัลธาดา กรรณสูตร องคมนตรี ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี พร้อมด้วยสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) โดยในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสักครอบคลุม 7 จังหวัด มีพื้นที่ทั้งสิ้น 15,600 ตารางกิโลเมตร รองรับปริมาณน้ำได้ 3,320 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันเก็บกักได้ 1,312 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณน้ำ 859 ล้านลูกบาศก์เมตร ที่นำไปใช้ในการรักษาระบบนิเวศน์ และยังมีความต้องการกักเก็บน้ำอีก 1,148 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีแผนที่จะพัฒนาลุ่มน้ำป่าสัก ในปี 2547-2570 ที่วางไว้ ประกอบด้วยแผนระยะเร่งด่วน 7 โครงการ ระยะกลาง 14 โครงการ ระยะยาว 8 โครงการ รวม 29 โครงการ ซึ่งหากดำเนินการเสร็จสิ้นจะสามารถกักเก็บน้ำได้เพิ่มขึ้นอีก 250 ล้านลูกบาศก์เมตร

นายจรัลธาดา กล่าวในที่ประชุมว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร  ทรงรับสั่ง และทรงมีความสนพระทัยที่จะต่อยอดโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  รวมถึงพื้นที่ของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และทรงมีรับสั่งให้รีบดำเนินการเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากโครงการ 

คณะองคมนตรี ยังมีแผนตรวจเยี่ยมโครงการใหญ่อีกหลายโครงการในพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทั้งที่กำลังดำเนินการ และยังไม่ได้ดำเนินการ โดยมีองคมนตรีรวม 4 คน แบ่งตรวจเยี่ยมคนละภาค พร้อมทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ วางแผนระยะยาว โดยในที่ประชุมนายจรัลธาดา ได้มีข้อสั่งการว่า ให้เร่งรัดปรับแผนพัฒนา รวมถึงเน้นว่าให้ดำเนินการโครงการที่มีการสร้างอ่างเก็บน้ำไว้แล้ว แต่ยังไม่มีระบบส่งน้ำ โดยให้ไปดูถึงปัญหาและแก้ไข พร้อมกำชับให้ส่งเสริมเกษตรกร มุ่งเน้นปลูกพืชผลไม้ ที่สร้างรายได้ให้กับประชาชน โดยในการเพาะปลูกมีความจำเป็นต้องอาศัยน้ำอย่างมาก อีกทั้งพื้นที่ในเขตลุ่มน้ำป่าสัก อาจไม่เหมาะที่จะปลูกข้าวทำนา จึงเหมาะที่จะปลูกผลไม้ นอกจากนี้ยังได้เน้นย้ำในที่ประชุมว่าในการพัฒนาแผนใดก็ตามจะต้องไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อป่าหรือทำให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด

ผู้สื่อข่าว:เกตุกนก ครองคุ้ม