คดีประวัติศาสตร์ค้ามนุษย์โรฮิงญา103 ผู้ต้องหา หลักฐานมัด ศาลสั่งจำคุกพล.ท.มนัส 27 ปี -โกโต้ง 75 ปี

20 กรกฎาคม 2560, 05:50น.


หลังจากที่ตลอดทั้งวันเมื่อวานนี้ ( 19ก.ค.) ศาลอาญา ได้อ่านพิเคราะห์ถึงความผิดของกลุ่มจำเลยในคดี ค้ามนุษย์โรฮิงญา จำนวน 103 คน เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ได้ควบคุมตัวกลุ่มจำเลยมารับฟังคำพิจารณาคดี โดยจำเลยคนสำคัญ ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ คือ นายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือโกโต้ง อดีตนายก อบจ.สตูล และ พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก



คดีนี้เนื่องจากเมื่อปี 2558 เริ่มต้นจากการพบหลุมฝังศพของกลุ่มคนลักลอบเข้าเมืองบนเทือกเขาแก้ว อ.ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ก่อนที่ศาลจังหวัดนาทวี ออกหมายจับผู้ต้องหา 88 ราย จนมีการโอนคดีมาพิจารณาคดีที่แผนกคดีค้ามนุษย์ของศาลอาญา เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2558 จนปัจจุบันมีจำเลยในคดีทั้งสิ้น 103 ราย สำหรับ พล.ท.มนัส จำเลยที่ 54 ของคดี เคยอยู่ในตำแหน่ง ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนแยกที่ 1 ระนอง และผู้บังคับการจังหวัดทหารบกชุมพร ก่อนจะมาดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ทั้งนี้ ตลอดการควบคุมตัว พล.ท.มนัสปฏิเสธข้อกล่าวมาโดยตลอด โดยอ้างว่าเงินที่โอนเข้าบัญชี ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญของการออกหมายจับคดีค้ามนุษย์ของพล.ท.มนัส เป็นเงินค่าวัวชน โดยคดีนี้ อัยการได้ทยอยฟ้องจำเลยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2558 ในความผิด 16 ข้อหา ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปราม การค้ามนุษย์ฯ พ.ศ.2551, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติฯ พ.ศ.2546



พล.ท.มนัส จำเลยที่ 54 ศาลเห็นว่าในช่วงที่มีการพบแรงงานเมียนมาและบังคลาเทศ ซึ่งเป็นชาวโรฮิงญา ทางการได้มีนโยบายผลักดังกลุ่มแรงงานเหล่านี้ออกจากนอกประเทศ ซึ่งระหว่างที่พล.ท.มนัส จำเลย 54 ระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ผอ.กอ.รมน. ตำรวจสามารถจับกุมแรงงานต่างด้าวได้กว่า 200 คน ซึ่งจะต้องทำการผลักดัน โดยส่งลงเรือลอยลำน่านน้ำสากล เพราะทั้งประเทศเมียนมา และบังคลาเทศ ไม่ยอมรับว่าบุคลดังกล่าวไม่ใช่พลเมือง แต่จากพยานหลักฐานโจทก์ พบว่าเมื่อมีการควบคุมแรงงานดังกล่าวแล้วได้ส่งให้จำเลยที่ 54 เพื่อผลักดันตามขั้นตอน แต่ขณะเดียวกันโจทก์ก็มีแรงงานโรฮิงญาา ผู้เสียหายที่ถูกจับกุมช่วงดังกล่าว ให้การว่าเคยถูกจับกุมแล้วแต่ก็ได้รับการช่วยเหลือกลับมาเข้าแคมป์เทือกเขาแก้ว ซึ่งรับฟังได้ว่าแม้จะให้มีการผลักดันแรงงานออกน่านน้ำ ตามแผนพิทักษ์อันดามัน 1 แต่แรงงานก็สามารถกลับมาได้โดยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจากรายงานประวัติรับราชการของจำเลยที่ 54 พบว่า ได้เป็น ผอ.กอ.รมน. ,ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกชุมพร (ผบ.จทบ.ชุมพร) และ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 จ.สงขลา ช่วงระหว่าง ต.ค.2553 ถึง ธ.ค.2557 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าช่วงเวลาที่จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว มีความเชื่อมโยงในการผลักดันแรงงานโรฮิงญาออกนอกประเทศ ขณะที่ ในการค้นบ้านพัก นางอรปภา จันทร์พ่วง จำเลยที่ 65 และ นางสาวศิริพร หรือแมว อุดมฤกษ์ จำเลยที่ 82 ก็พบหลักฐานเกี่ยวสลิปการโอนเงิน ซึ่งเชื่อมโยงบัญชี พล.ท.มนัส จำเลยที่ 54 ซึ่งพยานหลักฐานโจทก์ ปรากฏว่ามีการรับโอนเงิน ถึง 65 ครั้ง รวม เทือกเขาแก้ว850,000 บาท โดยเป็นการโอนช่วงเดือน พ.ย.- ธ.ค.2555 ถึง 61 ครั้งเป็นเงิน 13,800,000 บาทเศษ และในช่วง เดือน ส.ค.2556 อีก 2 ครั้ง เป็นเงิน 1ล้านบาทเศษ



แม้ พล.ท.มนัส จำเลยที่ 54 จะต่อสู้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ได้จากการพนันวัวชน,ซื้อขายวัวและเป็นเงินสนับสนุนจากเอกชนในการผลักดันแรงงานโรฮิงญานั้น จำเลยกลับไม่มีพยานหลักฐานเป็นเอกสารชัดเจน ขณะที่การผลักดันแรงงานรัฐก็มีงบประมาณสนับสนุนอยู่จึงเชื่อได้ว่าเงินที่ได้รับโอนบัญชีของจำเลยที่ 54 เป็นผลประโยชน์ที่เชื่อมโยงกับขบวนการค้ามนุษย์ โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ในการคุ้มครองดูแลผู้กระทำความผิดในการค้ามนุษย์ ไม่ให้ถูกจับกุม การกระทำนั้นจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันสมคบกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ฯและมีส่วนร่วมเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจำเลยที่ 54 เป็นเจ้าพนักงานจึงต้องระวางโทษ 2 เท่าของความผิดนั้น

ในส่วนของนายปัจจุบัน จำเลยที่ 29 ฝ่ายโจทก์ มีชาวโรฮิงญา ผู้เสียหาย เบิกความว่า ได้ยินคนแวดล้อมของจำเลยที่ 29 เรียกจำเลยว่าเป็น บิ๊กบอส ทำให้เป็นจุดสนใจแก่พยานในการจดจำ โดยจำเลยที่ 29 ทำหน้าที่รับแรงงานชาวโรฮิงญา จากทะเลมาขึ้นฝั่งที่ จ.สตูล ก่อนนำแรงงานทั้งหมดไปพักไว้แคมป์คนงานเพื่อรอเวลาส่งตัวแรงงานหมดไปประเทศมาเลเซีย ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์แรงงานเสียชีวิต โกโต้งจำเลยที่ 29 จะเป็นคนนำผ้ามาให้ห่อศพแล้วนำไปฝังดิน ขณะที่ยังมีพยานอื่นระบุว่า รับรู้จากสามีว่าหากติดขัดปัญหาในการขนส่งต้องเจรจา บิ๊กบอส ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขนส่งแรงงานได้ โดยในชั้นสอบสวนพยานดังกล่าวสามารถชี้ยืนยันตัวว่าบิ๊กบอสคือจำเลยที่ 29 จากการคำเบิกความพยานที่สอดคล้องกันรับฟังได้ว่าทุกครั้งที่เกิดปัญหาจะมีจำเลยที่ 29 เกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง ซึ่งรายละเอียดนั้นยากต่อการปั้นแต่ง โดยข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 29 ก็ไม่มีน้ำหนักที่จะหักล้างพยานโจทก์ ได้ โดยจำเลยที่ 29 ขนชาวโรฮิงญา ผ่าน จ.สตูล ขึ้นเทือกเขาแก้วก่อนส่งไปยังประเทศปลายทาง การกระทำของจำเลยที่ 29 จึงเป็นความผิดฐานเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันค้ามนุษย์เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี , ร่วมกันค้ามนุษย์เด็กอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี , ร่วมกันค้ามนุษย์อายุเกินกว่า 18 ปี , ร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปกระทำผิดค้ามนุษย์ , สมคบกัน 2 คนขึ้นไปเพื่อค้ามนุษย์ , ร่วมกันนำพาชาวต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร และ ให้ที่พักพิงชาวต่างด้าว ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าพนักงานที่ต้องระวางโทษเป็น 2 เท่าของความผิดนั้น

ขณะที่ ด.ต.อัศณีย์รัญ นวลรอด จำเลยที่ 7 ศาลเห็นว่าพยานเบิกความสอดคล้องกันว่าโทรศัพท์ติดต่อกับกลุ่มจำเลยหลายคนโดยปรากฏหลักฐานมียอดเงินเข้าบัญชี เดือนละ 3,000 บาทที่ไม่สามารถระบุที่มาได้ ซึ่งหน้าที่ของจำเลยที่ 7 คือต้องประจำอยู่ที่ด่านตรวจในพื้นที่ที่กลุ่มจำเลยต้องสัญจรผ่าน จำเลยเจ้าพนักงานรับเงินค่าผ่านทางในการขนส่งชาวโรฮีนจา จึงมีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ม.157 แต่ไม่พยานหลักฐานยืนยันว่าจำเลยที่ 7 ร่วมกระทำผิดฐานค้ามนุษย์



ส่วนนายอาบู ฮะอูรา สมาชิก อบจ. อำเภอควนโดน จ.สตูล จำเลยที่ 14 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่าทำหน้าที่รับตัวชาวโรฮิงญาจากที่บ้านวังประจัน จ.สตูล ไปส่งประเทศมาเลเซีย พร้อมระบุการกระทำความผิดของจำเลยแต่ละคนที่การลักลอบค้าแรงงานต่างด้าว โดยเล่าเหตุที่มีการกระทำผิดอย่างละเอียดชัดเจน แม้ว่าในชั้นพิจารณาคดีจำเลยที่ 14 จะให้การปฏิเสธโดยเบิกความกลับไปมาก็เป็นข้ออ้างลอย ๆ ขาดเหตุผลสนับสนุน จึงเชื่อในคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนที่ให้การทันทีหลังการจับกุมไม่นาน ซึ่งไม่มีโอกาสปรุงแต่งเรื่อง จึงน่าเชื่อถือได้มากกว่า อีกทั้งมีพิรุธเงินในบัญชีจำนวน 4.2 ล้านบาทที่จำเลยที่ 14 อ้างว่าได้รับโอนมาจากภรรยาจากการค้าขายอาหารทะเลกับจำเลยที่ 67 แต่จำเลยที่ 67 ประกอบอาชีพเกษตรกรไม่มีเหตุผลที่จะซื้ออาหารทะเลมูลค่ามากตามที่จำเลยที่ 14 อ้างจึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 14 มีความผิดฐานเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปกระทำผิดค้ามนุษย์ , สมคบกัน 2 คนขึ้นไปเพื่อค้ามนุษย์ โดยจำเลยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นต้องระวางโทษเป็น 2 เท่า



ช่วงบ่ายเมื่อวานนี้ ศาลได้พิเคราะห์ ถึงพฤติการณ์ของ นายสุวรรณ หรือโกหนุ่ย แสงทอง จำเลยที่ 17 และ นายปิยวัฒน์ หรือโกหย่ง พงษ์ไทย จำเลยที่ 22 ซึ่งโจกท์มีหลักฐานข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของจำเลยทั้งสอง วันที่ 1 -25 ม.ค.2558 ที่มีการติดต่อกันถึง 48 ครั้ง ในช่วงเวลาแค่ 25 วัน ซึ่งถือว่ามีความถี่มากกว่าเหตุธรรมดาทั่วไป ขณะที่จากการนำสืบของพยานโจทย์ รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองคนได้ติดต่อกันเรื่องจัดหาเรือประมงเพื่อในการขนส่งชาวโรฮินจา จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันค้ามนุษย์ บุคลกับบุคลที่มีอายุ 15-18 ปี ,มีส่วนร่วมองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ให้ที่พักพิงกับชาวต่างด้าว



นอกจากนี้ โจกท์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนาย เบิกความสอดคล้องกันถึงพฤติการณ์ เชื่อมโยงกับขบงนการค้ามนุษย์ โดย นางทัศนีย์ สุวรรณรัตน์ จำเลยที่ 30 เป็นเจ้าของรถกระบะ ที่ขนแรงงานโรฮีนจาไปจังหวัดสงขลา ซึ่งถูกตำรวจจับได้ 2 ครั้งตั้งแต่ปี 2556-2557 แม้จำเลยจะอ้างว่าพี่สาวได้ยืมรถไปแต่ไม่ทราบว่านำไปใช้อะไร ก็เป็นเพียงข้อกล่าวอ้าง เพราะเมื่อครั้งแรกที่รถถูกจับ จำเลยเจ้าของรถก็ยอมทราบเรื่องว่าได้มีการนำรถไปกระทำผิด อีกทั้งยังมีหลักฐานการโอนเงินผ่านบัญชี ของจำเลยและพี่สาวด้วย



ส่วนพ.ต.ท.ชาญ อู่ทอง จำเลยที่ 31 ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจพยานโจทก์ ให้การเบิกความสอดคล้องกัน ซึ่งรับฟังได้ว่าจำเลยทำหน้าที่คุ้มครองดูแลขบวนการค้ามนุษย์แรงงานโรฮิงญา และโจทก์ยังมีหลักฐานการรับโอนเงินระหว่างบัญชี ร.ต.ต.นราทอน สัมพันธ์ จำเลยที่ 33 กับ นายวิรัช หรือบังเสม เบ็ญโส๊ะ จำเลยที่ 27 เจ้าของเรือ เป็นเงิน 100,000 บาท โดยจำเลยที่ 33 จะดูแลกลุ่มที่ส่งแรงงานต่างด้าวทุกกลุ่ม ในพื้นที่ระนองและชุมพร ขณะเดียวกันยังพบหลักฐานการโอนเงินระหว่างบัญชีจำเลยที่ 33 และ นายชินพงษ์ ชาตรูประชีวิน และจำเลยที่ 92 อีกหลายครั้ง ซึ่งเงินเดือนของจำเลยที่ 33 จะอยู่ที่ 30,000 บาทแต่ ในการตรวจสอบบัญชีพบมีเงินหมุนเวียน 4 ล้านบาทแต่ในส่วนของนายจารึก สุวรรณรัตน์ จำเลยที่ 68 พยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่า ทำผิดตามฟ้อง



นอกจากนี้ศาลยังพิเคราะห์ ถึงพฤติการณ์ ของ น.ส.ขวัญฤทัย จันทร์พ่วง จำเลยที่ 59 น.ส.สถาพร ชื่นทับ จำเลยที่ 60 นางอรประภา จันทร์พ่วง จำเลยที่ 65 นายพิศิษย์ เพ็ชรคีรี จำเลยที่ 74 นางผานิต ด้วงขุนนุ้ย จำเลยที่ 78 นางรุ่งกานต์ พิพัฒนวานิช จำเลยที่ 79 นายสรศักดิ์ ห่อมา จำเลยที่ 88 ที่มีส่วนร่วมรับโอนเงินที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ จนเวลา 18.30 น. องค์คณะผู้พิพากษาได้พักการอ่านคำพิพากษา 30 นาที ก่อนจะเริ่มอ่านคำพิพากษาในช่วงค่ำ ซึ่งเหลือคำพิพากษาที่ยังไม่ได้อ่านอีกจำนวน 100 หน้า      

เมื่อเวลา 21.00 น. ภายหลังองค์คณะผู้พิพากษาคดีค้ามนุษย์ในศาลอาญา ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาคดีค้ามนุษย์แรงงานโรฮิงญาชาวเมียนมาและบังกลาเทศ 500 หน้า นานร่วม 12 ชั่วโมงตั้งแต่เวลา 08.30 น. องค์คณะผู้พิพากษาคดีค้ามนุษย์ในศาลอาญา ได้มีคำพิพากษาให้จำคุก 78 ปี นายบรรจง หรือจง ปองพล อดีตนายกเทศมนตรีเมืองปาดังเบซาร์ จ.สงขลา จำเลยที่ 1, นายอ่าสัน หรือหมู่สัน หรือบังสัน อินทธนู อดีตสมาชิกสภาเทศบาลเมืองปาดังเบซาร์ จำเลยที่ 2 และนายประสิทธิ์ หรือเดช หรือบังเบส หรือบังเค เหล็มเหล๊ะ อดีตรองนายกเทศมนตรีตำบลปาดังเบซาร์ จำเลยที่ 6 ที่เป็นอดีตผู้บริหารท้องถิ่นและอดีตสมาชิกท้องถิ่น ฐานค้ามนุษย์บุคคลที่อายุไม่เกิน 15 ปีและอายุเกิน 15 ปีกับอายุเกิน 18 ปีและมีส่วนร่วมอาชญากรรมข้ามชาติ จำคุุก 74 ปี จำเลยที่ 10,11,53,99,101 ส่วนจำเลยที่ 39,56 คงจำคุกคนละ 37 ปี จำคุก 94 ปี นายซอเนียง อานู หรืออันวา หรือโซไนท์ จำเลยที่ 46 อายุ 42 ปี สัญชาติเมียนมา เป็นนายหน้าขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทย ซึ่งนอกจากความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์แล้วยังผิดฐานให้ทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งถือเป็นจำเลยที่ได้รับโทษสูงสุด  จำคุก 76 ปี จำเลยที่ 12,47 กับจำคุก 57 ปีจำเลยที่ 4 กับ จำคุก 79 ปี จำเลยที่ 5 กับจำคุก 77 ปี จำเลที่ 18 , จำคุก 57 ปี 9 เดือน จำเลยที่ 28 , จำคุก 50 ปี 16 เดือน จำเลยที่ 43  จำคุก 75 ปี



นายปัจจุบัน จำเลยที่ 29 จำคุก 75 ปี จำเลยที่ 16,38 และจำคุก 50 ปี จำเลยที่ 40 กับจำคุก 76 ปี จำเลยที่ 57, 58 กับจำคุก 22 ปี จำเลยที่ 17,96 กับจำคุก 14 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 3,20

จำคุก 23 ปีจำเลยที่ 8,30,45,48,49,50,51,81 กับจำคุก 11 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 21,55 กับจำคุก 15 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 44 และจำคุก 17 ปี 3 เดือน จำเลยที่ 13,19



ส่วน พล.ท.มนัส อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก จำเลยที่ 54 , พ.ต.ท.ชาญ อู่ทอง จำเลยที่ 31, ร.ต.ต.นราทอน สัมพันธ์ จำเลยที่ 33 และนายอาบู หรือ ส.จ.บู ฮะอุรา อดีต ส.อบจ. อ.ควนโดน จ.สตูล จำเลยที่ 14 จำคุกเป็นเวลา 27 ปี จำคุก 79 ปี จำเลยที่ 22 กับ จำคุก 77 ปี จำเลยที่ 27, 48 และจำคุกจำเลยที่ 5 เป็นเวลา 57 ปี 9 เดือน จำคุก 19 ปี จำเลยที่ 59, 60, 65, 66, 67, 74, 79, 87, 97, 100 ส่วนจำเลยที่ 78 และ 88  จำคุก 14 ปี 3 เดือน จำเลยที่ 22, 25, 27, 28, 29, 38, 43, 46, 47, 48, 53, 57, 58, 99 และ 100 ซึ่งรวมโทษทุกกระทงแล้วเกินกว่า 50 ปี จึงให้ลงโทษสูงสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 วงเล็บสาม จำคุกไว้คนละสูงสุด 50 ปี ส่วนจำเลยที่เหลือ 40 ราย พิพากษายกฟ้อง โดยให้ขังจำเลยจำนวน 28 ราย จาก 40 รายไว้ก่อนในระหว่างอุทธรณ์ และให้จำเลย 62 ราย ที่ศาลพิพากษาลงโทษ ร่วมกันชดใช้เงินค่าเสียหายต่อเสรีภาพ กับทุกข์ต่อจิตใจและร่างกาย และการขาดรายได้ทำมากินกับผู้เสียหายทั้งที่เป็นเด็กชาย 7 ราย กับและผู้เสียหายที่อายุกว่า 15 ถึง 18 ปี จำนวน 58 คนด้วย ตั้งแต่รายละ 50,000 – 159,000 บาท รวมเป็นเงิน 4,400,250 บาท ทั้งนี้ การพิจารณาคดีล่วงเลยเวลาทำการแล้ว จำเลยที่ประสงค์จะยื่นประกันระหว่างต่อสู้อุทธรณ์ ยังไม่สามารถยื่นคำร้องได้ โดยจำเลยจะต้องถูกคุมตัวไปขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และทัณฑสถานหญิงกลางก่อน โดยเมื่อเริ่มทำการเวลาราชการสามารถยื่นประกันตัวได้ ส่วนจำเลย 12 ราย ที่ศาลไม่ได้มีคำสั่งให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ก็จะได้รับการปล่อยตัวที่เรือนจำต่อไป ทั้งนี้ ผลคำพิพากษาดังกล่าวเป็นการตัดสินของศาลชั้นต้น ซึ่งกฎหมายยังเปิดโอกาสให้จำเลยยื่นอุทธรณ์สู้คดีได้อีกชั้นหนึ่ง



คดีนี้นับเป็นประวัติศาสตร์ของการอ่านคำพิพากษาคดีอาญามาราธอนนาน 12 ชั่วโมง โดยองค์คณะ 9 คนผลัดเปลี่ยนอ่านคำพิพากษาโดยมีการพักเบรค 2 ครั้งๆละ 30 นาทีเท่านั้น และเป็นคดีแรกที่ได้มีการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้บริหารท้องถิ่น , ข้าราชการ , ทหาร กระทั่งมีคำตัดสินลงโทษ ขณะที่คดีนี้ศาลใช้เวลาไต่สวนพยานกว่า 200 ปาก ช่วง มี.ค.59 - 24 ก.พ.2560



ภายหลัง นายชัชวร เปียกลิ่น ทนายความด.ต.อัศณีย์รัญ นวลรอด จำเลยที่ 7 ระบุว่า ศาลอาญา พิพากษาจำคุกจำเลย ไป 62 คน และยกฟ้องจำเลยไป 40 คน ซึ่งลูกความของตัวเองเป็นจำเลยที่ 7 และเป็นตำรวจ ศาลมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องในข้อหาอื่นทั้งหมด ยกเว้น ปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ให้จำคุก 4 ปี ก็ถือว่าโทษไม่สูงมาก โดยศาลสั่งให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์ พอใจโทษที่ศาลตัดสินแต่ก็มีสิทธิ์อุทธรณ์ ซึ่งเข้าใจว่าญาติคงขอยื่นประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ แต่ศาลจะพิจารณาหรือไม่นั้นก็ไม่ทราบ นายชัชวร กล่าวว่าคดีนี้จำเลยที่ศาลยกฟ้องไปเนื่องจากพยานหลักฐานไม่สามารถนำสืบได้ เพราะพยานหลักฐานอ่อน ไม่เพียงพอว่าได้กระทำผิด ส่วนที่ศาลลงโทษก็มีไม่เท่ากัน 70 -80 ปี ก็มีซึ่งขึ้นอยู่กับศาลความผิดว่าจำเลยเหล่านั้นได้กระทำความผิดในฐานความผิดอะไรบ้าง โดยส่วนมากจำเลยที่ศาลยกฟ้องจะยังให้ขังระว่างอุทธรณ์ มีส่วนน้อยที่ศาลจะปล่อยเลย ซึ่งจำเลยที่ศาลปล่อยโดยไม่ขังระหว่างอุทธรณ์จะเห็นว่าพฤติการณ์ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด แต่ที่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์นั้นเพราะยังมีเหตุสงสัยอยู่ จึงควรให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้กลี่นกรองอีกครั้ง

       

       สำหรับรายชื่อจำเลยประกอบด้วย

       1) นายบรรณจง หรือจง ปองผล ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       2) นายอ่าสัน หรือหมู่สัน หรือบังสัน อินทธนู ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       3) นายร่อเอ หรือเอ๋ สนยาแหละ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       4) นายอาหลี หรือหลี ล่าเม๊าะ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       5) นายยาหลี เขร็ม ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       6) นายประสิทธิ์ หรือเดช หรือบังเบส หรือบังเค เหล็มเหล๊ะ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       7) ดาบตำรวจอัศณีย์รัญ นวลรอด ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       8) นายสาโรจน์ หรือบังสา แก้วมณีโชติ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       9) ร้อยตำรวจโทมงคล สุโร ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       10) นายชลชาสน์ หรือบังโอบ ไชยมณี ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       11) นายสมยศ อังโชติพันธุ์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       12) นายชลธิชา หรือบังชล ไชยมณี ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       13) นายเจ๊ะมุสา หรือล้าน สีสัย ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       14) นายอาบู หรือ ส.จ.บู ฮะอุรา ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       15) นางสาวปาลิตา หรือทอม ชูอมรทรัพย์ ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       16) นายโคเทวย์ หรือโกทรี (KO HTWE) ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       17) นายสุวรรณ หรือโกหนุ่ย แสงทอง ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       18) นายอนัตตา หรือแกะ โชติบุญทอง ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       19) นายสถิต แหมถิ่น ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       20) นายสมรรถชัย หรือโบ้ หรือแรมโบ้ ฮะหมัด ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       21) นายมูปะกาส หรือบังกาด แขกพงศ์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       22) นายปิยวัฒน์ หรือโกหย่ง พงษ์ไทย ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       23) นายอนัส หะยีมะแซ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       24) นายมาเลย์ โต๊ะดิน ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       25) นายสุไหลหมาน หรือปาซี หมัดอาด้ำ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       26) นายสุรียา หรือโกชัย อาฮะหมัด หรืออาหะหมัด ( เสียชีวิต ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       27) นายวิรัช หรือบังเสม เบ็ญโส๊ะ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       28) นายพิชัย หรือบ่องล๊ะ คงเอียง ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       29) นายปัจจุบัน หรือโกโต้ง อังโชติพันธุ์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       30) นางทัศนีย์ สุวรรณรัตน์ ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       31) พันตำรวจโทชาญ อู่ทอง ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       32) นายอนุสรณ์ หรือโกเล้ง สุขเกษม ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       33) ร้อยตำรวจตรีนราทอน สัมพันธ์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       34) นายโปเซี่ย หรือโกเซี่ย อังโชติพันธุ์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       35) นายสมบูรณ์ สันโด ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       36) นายวุฒิ วุฒิประดิษฐ์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       37) นายสมพล อาดำ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       38) นายอูเซ็น ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       39) นายสมเกียรติ หรือแอน แก้วประดับ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       40) นายอับดุลลาซีด หรือซีด มันตะสุม ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       41) นายหมัดยูโส๊บ หรือหยัด บิลเหล็ม ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       42) นายเจ๊ะเต๊ะ หรือบังเต๊ะ ยะฝาด ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       43) นายหมิด หมอชื่น ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       44) นายสราวุธ หรือบังเครา พรหมกะหมัด ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       45) นายทนงศักดิ์ หรือยี่สัน เหมมันต์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       46) นายซอเนียง อานู หรืออันวา หรือโซไนท์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       47) นายเจริญ หรือบังแฉะ ทองแดง ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       48) นายสะอารี หรือสะหรี เขร็ม ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       49) นายถาวร หรือบังวร มณี ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       50) นายดีน หรือบังดีน เหมมันต์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       51) นายชาคริต หลงสาม๊ะ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       52) นายหมาดสะอาด ใจดี ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       53) นายดาเหร็ด หมานละโต๊ะ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       54) พลโทมนัส คงแป้น ( ขัง )

       55) นายประสิทธิ์ หรือบังเหม แก้วประดับ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       56) นายสุภาพ แก้วประดับ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       57) นายฮาซอล (M.D.HASHIM) ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       58) นายอับดุลนาเซท หรืออาบู นอช็อต ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       59) นางสาวขวัญฤทัย จันทร์พ่วง ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       60) นางสาวสถาพร ชื่นทับ ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       61) นายหมุดสอและ กำพวน ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       62) นางสาวสีตีคอลีเยาะ วาเตะ ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       63) นางสายตา ฮวดสี ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       64) นายอาแซ เจ๊ะบากา ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       65) นางอรปภา จันทร์พ่วง ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       66) นางสมใจ หละอะด้ำ ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       67) นายอรัณ หนูอินทร์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       68) นายจารึก สุวรรณรัตน์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       69) นางศรัญญา เตะมาหมัด ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       70) นางปราณี สุขสำราญ ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       71) นายสุเมธ พูลสวัสดิ์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       72) นายวรวิทย์ หรือฟาริด ปูหยัง ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       73) นายธัชพล หรือบังเป้า หวังเบ็ญหมุด หรือหวังเบ็ญหมูด ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       74) นายพิศิษ์ย์ เพ็ชรศีรี ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       75) นางสายใจ มูเก็ม ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       76) นางโฉมสิณี ปิยทัศสี ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       77) นางสาวสุภิยา ด้วงขุนนุ้ย ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       78) นางหรือนางสาวผานิต ด้วงขุนนุ้ย ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       79) นางรุ่งกานต์ พิพัฒนวานิช ( ขัง )

       80) นายวิทยา หรือโกจ๋วน จีระธัญญาสกุล ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       81) นางจันทร์ตรี แซ่เตีย ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       82) นางสาวศิริพร หรือแมว อุดมฤกษ์ ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       83) นายภูษณ หรือฟิว ตันสุเมธ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       84) นางสาวเสาวลักษณ์ วุรุฬห์รักษ์สกุล ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       85) นายถิระพล ชูคุปติวงศ์ ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       86) นายณัฐวุฒิ ระวังภัย ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       87) นายหัวลี่ฟิ่น อ้าหลี ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       88) นายสรศักดิ์ ห่อมา ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       89) นางสาวโย หรือนางโย ดำรงพันธ์กุล ( ขัง ) ทัณฑสถานหญิงกลาง

       90) ร้อยเอกวิสูตร บุนนาค ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       91) นายชาลี มณีหรรษา ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       92) นายชินพงษ์ ชาตรูประชีวิน ( ขัง ) เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

       93) นางสาวปริศนา จิรธรรมสกุล ( ขัง )

       94) นายธวัช นฤหบดินทร์ ( ขัง )

       95) นางสาวสายฝน เผยศิริ ( ขัง )

       96) นายสาแล๊ะ จางวาง ( ขัง )

       97) นางจินตนา พรหมอักษร ( ขัง )

       98) นางสาวฉันทนา วันทอง ( ขัง )

       99) นายเจ๊ะอาด โต๊ะดิน ( ขัง )

       100) นายสมบัติ บำเพ็ญพงษ์ ( ขัง )

       101) นายผิน ร่วมบัว ( ขัง )

       102) นางนงนุช บำเพ็ญพงษ์ ( ขัง )

       103) นายมอฮัมหมัด หาญจิตร 



CR: www.manager.co.th , แฟ้มภาพ TPBS

ข่าวทั้งหมด

X