นายซัลมา อับเดลาซิส นักข่าวซีเอ็นเอ็น ที่ติดตามกลุ่มนักรบประชาธิปไตยซีเรีย แกนนำฝ่ายต่อต้านซีเรียที่สหรัฐฯและพันธมิตรให้การสนับสนุน เพื่อลงพื้นที่รายงานข่าวเจาะลึกจากเมืองรักกา ซีเรียว่า ยิ่งขยับเข้าไปใกล้ที่มั่นสุดท้ายของกลุ่มรัฐอิสลาม(ไอเอส)ก็ยิ่งจะเห็นชัดเจนถึงสภาพความเสียหายจากสงครามอย่างชัดเจน ได้ยินคำบอกเล่าจากคนในพื้นที่เรื่องการสูญเสียคนในครอบครัว ขณะเดียวกัน ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่ากลุ่มไอเอสใกล้จะแพ้สงครามในเมืองรักกาอยู่ทุกขณะเนื่องจากขณะนี้นักรบกลุ่มไอเอสถูกปิดล้อมไว้หมดและเริ่มตกเป็นเป้าการถูกโจมตี แต่ชัยชนะทางทหารคงจะไม่สามารถช่วยเยียวยาสภาพครอบครัวที่แตกแยกไปคนละทิศคนละทางหลังเกิดสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมากว่า 6 ปี
ด้านนายฟูรัตอายุแค่ 15 ปีในช่วงที่กลุ่มไอเอสยึดเมืองรักกา บ้านเกิดของเขาเมื่อ 3 ปีก่อน ระบุว่าเขาทำใจรับไม่ได้ เนื่องจากกลุ่มไอเอส ปกครองอย่างอยุติธรรมและกดขี่ข่มเหงทั่วทุกหัวระแหง เขาจึงหนีออกมาและต่อมาจึงไปเข้าร่วมกับกองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย ขณะนี้เขาอยู่ไม่กี่ไมล์จากบ้านเกิดของเขา แต่ชีวิตในท้องถิ่นนั้นคงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาเพิ่งเจอหน้าคนในครอบครัวเป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันก่อนที่จะให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นในวันนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาหลบหนีออกจากเมืองหลังกองกำลังประชาธิปไตยซีเรียของเขาปะทะกับนักรบกลุ่มไอเอสเมื่อไม่กี่เดือน เขาแทบจะจำคนในครอบครัวแทบจะไม่ได้ คนในครอบครัวก็แทบจะจำเขาไม่ได้เช่นกันเนื่องจากขณะที่ครอบครัวแตกแยกไปคนละทิศคนละทาง เขายังอยู่ในวัยเด็ก แต่บัดนี้เขาเริ่มโตเป็นหนุ่มและเป็นนักรบฝ่ายต่อต้านซีเรียด้วย
ด้านนางอิงฮาซิค ผู้บัญชาการกองกำลังประชาธิปไตยซีเรียกล่าวว่าเมืองรักกา บ้านเกิดของเธออยู่ในสภาพเสียหายอย่างหนักจากสงคราม ระบุว่ากองกำลังของเธอสู้รบเพื่อให้ประเทศเกิดสันติภาพในระยะยาว ระบุว่าเมื่อสงครามสิ้นสุดแล้ว เธออาจจะอาศัยอยู่ในชุมชนที่ชาวเคิร์ด ชาวอาหรับ ชาวคริสต์ และชาวมุสลิมสุหนี่สามารถจะอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเมืองรักกา ก็มีสภาพชุมชนเช่นนั้น แต่สภาพสังคมท้องถิ่นคงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ทีมต่างประเทศ
CR:CNN