ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดการเจรจานอกรอบการประชุมผู้นำกลุ่ม G20 กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ที่เมืองฮัมบูร์ก เยอรมนี โดยนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่า บรรยากาศการหารือแบบเผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรกเป็นเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาทีเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ เคมีเข้ากันอย่างเห็นได้ชัดมาก โดยไม่มีฝ่ายใดต้องการหยุดคุยในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ของโลก เช่น สงครามซีเรีย โอกาสนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ได้หยิบยกประเด็นความวิตกกังวลกรณีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งผู้นำรัสเซียปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง ขณะที่นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย เปิดเผยเช่นกันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ยอมรับคำปฏิเสธของประธานาธิบดีปูติน อย่างไรก็ดี นายชาร์ลส์ ชูเมอร์ ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา เตือนว่า การยอมรับคำปฏิเสธของผู้นำรัสเซียจะเป็นการกระตุ้นให้รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ อีกได้ในอนาคต
ทั้งนี้ บรรยากาศการประชุมกลุ่มจี 20 ถูกบดบังด้วยเหตุประท้วงรุนแรงและความแตกแยกระหว่างสหรัฐฯ กับชาติพันธมิตรตะวันตก เกี่ยวกับประเด็นโลกร้อนและนโยบาย “อเมริกัน เฟิร์สท์” หรือ "อเมริกาต้องมาก่อน" ของประธานาธิบดีทรัมป์
นักวิเคราะห์เตือนว่า หากประธานาธิบดีทรัมป์สร้างความเกี่ยวพันกับประธานาธิบดีปูติน จะทำให้เกิดช่องระหว่างความสัมพันธ์ของผู้นำสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรที่มีมาอย่างยาวนาน การพบปะกันครั้งนี้อาจเปลี่ยนกระแสของประเด็นต่างๆ นับตั้งแต่ปัญหาเกาหลีเหนือ ความขัดแย้งในซีเรียและยูเครน ไปจนถึงสนธิสัญญาลดอาวุธสหรัฐฯ-รัสเซีย การค้าโลก และภาวะโลกร้อน
บรรยากาศรอบนอกการประชุมจี 20 ได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่น กลุ่มผู้ประท้วง ยังก่อความวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง ทั้งขวางรถของนางเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ ณ โรงแรมที่พัก เป็นเวลาหลายชั่วโมง ขณะที่ผู้ชุมนุมคนอื่นๆ เผารถ ทุบกระจกร้านค้า ยิงพลุใส่เฮลิคอปเตอร์ตำรวจ หรือแม้แต่กรีดยางรถยนต์ของคณะผู้แทนแคนาดา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองฮัมบูร์กต้องขอกำลังเสริมจากรัฐต่างๆ ของเยอรมนี และฝ่ายจัดการประชุม G20 ต้องลดทอนโปรแกรมอย่างเป็นทางการที่จัดไว้สำหรับคู่สมรสของแขกผู้ทรงเกียรติที่เดินทางมาเยือน
ขณะที่นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ออกมาประณามการประท้วง โดยระบุว่า เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพราะทำให้ชีวิตผู้คนตกอยู่ในอันตราย
ทีมต่างประเทศ
CR:tribune.com.,AFP