สำนักข่าวแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ( เอสพีเอ ) เผยแพร่แถลงการณ์ของรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ร่วมกับพันธมิตร คือบาห์เรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ( ยูเออี ) และอียิปต์ ว่าการที่กาตาร์ ปฏิเสธข้อเสนอของกลุ่มอ่าวอาหรับเพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน สะท้อนเจตนาของรัฐบาลกาตาร์ว่า ต้องการดำเนินนโยบายตามแนวทางของตัวเอง ซึ่งมีวัตถุประสงค์มุ่งทำลายเสถียรภาพและความมั่นคงภายในภูมิภาค ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งเตือนว่า อาจมีการยกระดับมาตรการบางอย่างต่อกาตาร์ แต่ไม่มีการลงลึกในรายละเอียด
ด้านนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เตรียมเดินทางเยือนกรุงคูเวตซิตี ในวันจันทร์ที่ 10 ก.ค.นี้ คาดว่าจะมีการเข้าเฝ้าฯชีค ซาบาห์ อัล-อาหมัด อัล-จาเบอร์ อัล-ซาบาห์ เจ้าผู้ครองรัฐคูเวตด้วย ปัจจุบันกาตาร์เป็นสถานที่ตั้งของฐานทัพอัล-ยูเดอิด ซึ่งเป็นฐานทัพอากาศขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯในตะวันออกกลาง มีทหารอเมริกันประจำการอยู่ราว 10,000 นาย และฐานทัพแห่งนี้ยังเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของกองทัพสหรัฐและพันธมิตร สำหรับปฏิบัติการในอิรัก ซีเรีย และอีกหลายประเทศในภูมิภาคด้วย
ทั้งนี้ ข้อพิพาทระหว่างกาตาร์กับซาอุดีอาระเบีย ที่พ่วงด้วยพันธมิตรอีก 3 ประเทศ มีความรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี โดยเริ่มจากการที่รัฐบาลซาอุดิอาระเบียและพันธมิตรตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลกาตาร์ตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย. ตามด้วยการบังคับใช้มาตรการปิดล้อมกาตาร์ทั้งในด้านการทูตและเศรษฐกิจ ที่รวมถึงการเพิกถอนใบอนุญาตของกาตาร์ แอร์เวย์ส และห้ามสายการบินแห่งชาติของกาตาร์เดินทางผ่านน่านฟ้าอย่างเด็ดขาด
จากนั้นกลุ่มอ่าวอาหรับประกาศเงื่อนไข 13 ข้อให้รัฐบาลกาตาร์ปฏิบัติตามภายใน 10 วัน ไม่ว่าจะเป็นการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน การปิดฐานทัพตุรกี การยุติออกอากาศในทุกช่องทางของสถานีโทรทัศน์อัลจาซีรา และกาตาร์ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม จำนวนมหาศาล เพื่อรับผิดชอบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกาตาร์ ยืนกรานปฏิเสธข้อเรียกร้องทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของกาตาร์อย่างชัดเจน แต่แสดงความพร้อมเจรจากับซาอุดีอาระเบียและคู่กรณี ขณะที่คูเวตยังคงพยายามทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย
แฟ้มภาพ