หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้างานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ว่าเมื่อวานนี้มีการประชุมไปแล้ว โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสด็จมาเป็นองค์ประทานในการประชุม โดยสรุปแล้วทุกอย่างมีความพร้อมและต้องแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ซึ่งขณะนี้งานในแต่ละส่วนถือว่ามีความก้าวหน้าตามลำดับ ซึ่งเรื่องทั้งหมดได้มีความกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาโดยตลอด ทั้งนี้พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพจะจัดขึ้นในวันที่ 25 - 29 ต.ค. โดยจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมถวายดอกไม้จันทน์วันเดียวคือวันที่วันที่ 26 ต.ค.
ส่วนการรายงานผลความคืบหน้ารายงานการค้ามนุษย์ (ทิป รีพอร์ต)จากสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน และว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ยืนยันว่ารัฐบาลมีเจตนาที่มุ่งมั่นและตั้งใจจะแก้ไข ปัญหาอย่างเต็มที่แต่ต้องเข้าใจว่าปัญหาหลายอย่างมีการสะสมเป็นเวลานาน และในส่วนปัญหาการค้ามนุษย์ สิ่งสำคัญคือการสร้างความเข้าใจ โดยเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ซึ่งทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน ทั้งภาครัฐภาคเอกชน องค์กรอิสระและประชาสังคม ขออย่าคาดการณ์ล่วงหน้า
ส่วนการเดินทางไปสหรัฐฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือของกระทรวงการต่างประเทศซึ่งหากมีกำหนดการที่ชัดเจนจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อน 10 วัน ทั้งนี้การชี้แจงในเรื่องต่างๆขณะนี้มีความพร้อมทุกด้าน สำหรับการหารือเพื่อให้ความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ ที่มีมาอย่างยาวนานดำเนินต่อไป ซึ่งไม่ใช่แค่สหรัฐเท่านั้นแต่ประเทศไทยเองได้มีการเตรียมความพร้อมในการหารือกับนานาประเทศอยู่ตลอดเพื่อให้เกิดความร่วมมือ และสร้างความสัมพันธ์ในทุกๆด้าน
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงกรณีที่นิด้าโพลล์ เสนอต้องการให้มีการตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อมาสนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบัน ว่า ขอบคุณทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและไม่สนับสนุน แต่เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของการเมืองการจัดตั้งรัฐบาล การจัดตั้งพรรคการเมือง ส่วนตัวยังไม่ไม้ได้คิดเรื่องดังกล่าว แต่คิดเพียงว่าจะแก้ไขบริหารประเทศได้อย่างไร ในขณะที่มีรัฐธรรมนูญออกมาแล้วและยังอยู่ในระหว่างการตัดทำกฎหมายลูก นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่าในหลายอย่างจะมุ่งเน้นเพียงแต่การเมืองไม่ได้ ซึ่งการเมืองเป็นเรื่องที่แม่น้ำ 5 สายที่ต้องช่วยกันทำออกมา ทั้งการจัดทำกฎหมายลูกเพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ขณะเดียวกันขออย่ากังวลแทนตนเองว่าจะอยู่หรือจะไปเพราะยังไม่ได้คิดในส่วนนี้ เพราะจะทำให้เสียสมาธิ
ส่วนกรณีที่สื่อสิงคโปร์รายงานข่าวว่ากลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ได้ประกาศผ่านโซเชียลมีเดีย ขึ้นบัญชีสิงคโปร์ เมียนมา ตอนใต้ของไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในพื้นที่ครอบครองของไอเอสทางตะวันออก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าขออย่าขยายความ ซึ่งเรื่องนี้ฝ่ายความมั่นคงได้ดำเนินการอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีการตรวจพบว่ามีเข้ามาในประเทศไทย แต่หากตรวจพบว่ามีก็จะต้องดำเนินการในทันที
นายกรัฐมนตรียังย้ำว่า การซักซ้อมรับมือสถานการณ์การก่อการร้ายบริเวณระบบขนส่งสาธารณะ เป็นกำหนดการที่ต้องซักซ้อมอยู่แล้ว เหมือนกับกระทรวงต่างๆที่มีการฝึกซ้อมมาโดยตลอด ซึ่งช่วงนี้เป็นเรื่องระบบขนส่งมวลชน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ปิดล้อมและควบคุมสถานการณ์ได้ทัน เมื่อเกิดเหตุจริง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการซักซ้อม 2-3 ครั้งแล้ว