นายกฯแจงยังไม่ได้กู้เงินใครมาสร้างรถไฟไทย-จีน ไม่ยกเลิกใช้บัตรทองแน่นอน

20 มิถุนายน 2560, 17:17น.


การเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแหล่งเงินทุนในการเดินหน้าโครงการนี้ว่า ยังไม่มีการพูดคุยว่าจะไปกู้เงินใครมา เพราะแหล่งเงินทุนในประเทศก็มีอยู่แล้ว เพียงแต่รัฐบาลจีน เสนอมาว่า หากกู้เงินของรัฐบาลจีนจะได้ดอกเบี้ยเท่าใด แต่ไม่เคยมาบังคับว่าไทยจะต้องใช้แหล่งเงินทุนจากจีน  ซึ่งเงินในการก่อสร้าง 1.74 แสนล้านบาท แบ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐาน 1.3 แสนล้านบาท ระบบบริหารจัดการการเดินรถ  4 หมื่นล้านบาท  ส่วนเส้นทางที่ทำได้จะทำก่อนเพราะไม่ติดกฎหมาย ส่วนเส้นทางอื่นจะเปิดประมูลต่อไป โดยอาจเป็นการร่วมทุนกับเอกชน หรือทีพีพี  ทั้งนี้การสร้างรถไฟความเร็วสูงขออย่ามองเพียงแค่ปริมาณคนนั่งเพราะหากมองเช่นนั้น ก็ขาดทุนอยู่ แต่ขอให้มองที่ประโยชน์สองข้างทางที่ประชาชนจะได้รับ ร่วมไปถึงความประโยชน์ รวมไปถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ต้องเปลี่ยนแปลงให้ดีกว่าเดิม เอื้อประโยชน์ให้คนส่วนใหญ่ ยืนยันว่าโครงการนี้จำเป็นต้องมีและต้องเดินหน้าดำเนินการเพราะได้ผ่านการพูดคุยกับทึกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมากว่า 18 ครั้งแล้ว



ขณะเดียวกัน สมาคมวิศวกร และหน่วยงานต่างๆ ก็เข้าใจทั้งเรื่องการดำเนินการและการถ่ายทอดเทคโนโลยี นายกรัฐมนตรีย้ำว่าการดำเนินการ ไม่ได้มองที่ผลประโยชน์ใครแต่มองที่ผลประโยชน์ชาติ จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง เหมือนประโยคที่ว่า make different to future แต่อย่างไรก็ตามยืนยันว่าจะต้องได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยกว่าของเดิมที่มีอยู่



เช่นเดียวกับ การดำเนินการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งมีการแก้ไขเพื่อนำงบประมาณไปใช้อย่างเหมาะสม มีส่วนที่ขีดเจน ที่ผ่านมาอาจมีปัญหาอยู่บ้าง จึงต้องมีนักบริหารจัดการเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการ แต่ยืนยันว่ามีตัวแทนทุกภาคส่วน 



นายกรัฐมนตรี ย้ำอีกครั้งโดยขอยืนยัน นั่งยันนอนยันว่าไม่มีการยกเลิกการใช้บัตรทองอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องเงินสมทบมีอยู่ในกฎหมายเดิมอยู่แล้ว ส่วนคนที่ต่อต้านคาดว่าอาจเสียผลประโยชน์ในการนำงบประมาณไปทำอย่างอื่น แต่ขอให้เห็นใจประชาชน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังเดินหน้าในการให้ประชาชนเข้าถึงยาที่มีราคาแพง นำงบประมาณมาพัฒนาเรื่องจุลชีพ ให้ผลิตยาที่มีราคาถูกให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้



ส่วนกรณีที่มีคลิปโรงเรียนดังแห่งหนึ่งย่านพระราม 6 เรียกรับเงินแป๊ะเจี๊ยะ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการ ไปตรวจสอบแล้ว ว่ามีบุคคลใดจ่ายเงินและเรียกรับเงินบ้าง หากจ่ายและเข้าเรียนแล้วก็ต้องให้ลาออก พร้อมระบุว่าสิ่งที่แก้ปัญหานี้ได้คือต้องพัฒนาทุกโรงเรียนให้มีคุณภาพเหมือนๆกัน เพราะคนเป็นผู้ปกครองก็อยากส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนดีๆ ซึ่งรัฐบาลก็ให้ทุนการศึกษาเรียนฟรี ดังนั้นผู้ปกครองอย่าไปให้แป๊ะเจี๊ยะกับโรงเรียน เพื่อหยุดวงจรดังกล่าว พร้อมยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญและเห็นปัญหาเรื่องดังกล่าวแต่ขอให้ทุกคนร่วมมือกับรัฐบาลด้วย



ส่วนเรื่องปัญหาการทุจริตเงินทอนวัด นายกรัฐมนตรีระบุว่า กำลังดำเนินการสอบสวนเรื่องดังกล่าวอยู่ ยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 เข้ามาแก้ไขปัญหา พร้อมถามทางวัดกลับว่า รัฐบาลให้งบประมาณไปจำนวนหนึ่งแล้วมีหน่วยงานภาครัฐมาขอเงินทอนคืน เป็นเรื่องที่สมควรยอมหรือไม่ นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังเชื่อว่าการทุจริตเรื่องนี้จะไม่หมดไป หากยังมีคนอยากได้เงินอยู่



นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ที่ต้องหยุดชะงักไป ว่าจะส่งผลกระทบกับการทำงานหรือไม่ โดยยืนยันว่าไม่มีปัญหากับเรื่องดังกล่าว เพราะหากหมดวาระก็แค่ตั้งกรรมการชุดใหม่ขึ้นมา พร้อมตำหนิสื่อเหตุใดต้องนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็น ส่วนกรณีการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งของตำรวจยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสนใจ โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการสอบสวนไปหากมีปัญหาสามารถมาปรึกษากับรัฐบาลได้ และหากเรื่องใดยังมีปัญหาก็ให้นำมาตรวจสอบให้ความชัดเจน



 



ผู้สื่อข่าว:ปิยะธิดา เพชรดี 

ข่าวทั้งหมด

X