การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดงาน Thailand Travel Mart Plus (TTM+) 2017 แสดงศักยภาพการท่องเที่ยวไทยและลุ่มน้ำโขง ที่ศูนย์การประชุมและการแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ในระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายน 2560
พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยมีนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมด้วย พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย และสนับสนุนบทบาทและความร่วมมือของไทยไปสู่สากล ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีความร่วมมือขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่เกื้อกูลต่อเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมของประเทศ และทำรายได้ให้แก่ประเทศ ในปีที่ผ่านมา 2.5 ล้านล้านบาท นับเป็นร้อยละ 26 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ของประเทศ
ขณะที่ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การจัดงานในครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 16 เพื่อเพิ่มศักยภาพการขายแหล่งท่องเที่ยวและบริการทางการท่องเที่ยวของไทยในตลาดต่างประเทศ โดยสนับสนุนบทบาทของประเทศไทยในกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และยังเป็นเวทีหลักสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการโดยเฉพาะในแบบ Business to Business หรือ B2B ได้เจรจาทางธุรกิจภายใต้แนวคิด“Delivering Unique Experiences”
ภายในงาน ได้เปิดเวทีให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของไทย และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจากประเทศกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้นำเสนอสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวที่หลากหลายทั้งธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท บริษัทนำเที่ยวและตัวแทนจำหน่ายด้านการท่องเที่ยว สมาคมด้านการท่องเที่ยว สวนสนุก สนามกอล์ฟ และธุรกิจบันเทิง ให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวจากต่างประเทศทั่วโลกได้ซื้อขาย โดยเป็นการจัดงานในรูปแบบของการนำเสนอสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวที่มีอยู่และสินค้าบริการใหม่ ๆ รวมทั้งนำเสนอภาพลักษณ์ประเทศไทยว่าเป็นจุดเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ประกอบด้วยกัมพูชา สปป.ลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และเวียดนาม
สำหรับในปีนี้ มีจำนวนการตอบรับของผู้ขายในประเทศ และผู้ประกอบการจากประเทศเพื่อนบ้านในแถบลุ่มน้ำโขง รวมทั้งสิ้น 429 บูธ จาก 362 หน่วยงาน และเป็นผู้ขายที่เคยร่วมงานเป็นครั้งแรก 106 ราย และเคยร่วมงานแล้ว 256 ราย ในจำนวนนี้เป็นประเทศกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 13 หน่วยงาน ส่วนผู้ซื้อจากต่างประเทศเข้าร่วมงานจำนวน 361 ราย (56 ประเทศ) และเป็นผู้ซื้อรายใหม่จำนวนมาก เช่น บัลแกเรีย โคโซโว โมรอคโค โปแลนด์ สโลวาเกีย และศรีลังกา
นอกจากนี้ ยังมีการจัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกิจกรรมใหม่ที่จัดเป็นครั้งแรกภายในงาน TTM+ เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวไปสู่บุคคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแขนงต่าง ๆ ทั้งผู้ประกอบการที่กำลังประกอบกิจกรรมด้านท่องเที่ยว และกลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในภาคเหนือที่มีการเรียนการสอนด้านการท่องเที่ยว การจัดแสดงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว เปิดโอกาสด้านการทำธุรกิจไปสู่ภาคธุรกิจชุมชน โดยการคัดเลือกสินค้าและบริการที่เป็นสินค้าที่มีศักยภาพในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้า OTOP Premium นำเสนอกลิ่นอายล้านนา และสินค้านวัตกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นจากศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ มาจัดแสดงและนำเสนอขายแบบ B2B แก่ผู้เข้าร่วมงานที่ประกอบธุรกิจด้านท่องเที่ยว เช่นโรงแรม รีสอร์ท บริษัทนำเที่ยว สถานประกอบการ Wellness & Spa โดยแบ่งพื้นที่เสนอขายสินค้าจำนวน 7 โซน ซึ่งนำจุดขายของศิลปวัฒนธรรมล้านนามานำเสนอ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ รวมถึงของตกแต่งบ้านและเครื่องประดับ
ผลิตภัณฑ์เซรามิก ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรพื้นถิ่น และผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น (OTOP) ที่มีศักยภาพ รวมถึงการจัดรายการนำเที่ยว ให้กับผู้ซื้อและ สื่อมวลชนจากต่างประเทศเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าทางการท่องเที่ยวในโครงการใหม่ ๆ ที่สนใจ
อย่างไรก็ตาม ททท. คาดว่า การจัดงานครั้งนี้ จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยได้มีการเจรจาและนำเสนอขายสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวมากขึ้น เพิ่มประสบการณ์และเตรียมความพร้อมในการทำธุรกิจในระดับสากลให้แก่ภาคเอกชนไทย ผู้ประกอบการนำเที่ยวต่างประเทศได้มีโอกาสสำรวจ ศึกษา และรับข้อมูลสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวทั้งเก่าและใหม่ รวมถึงกิจกรรมที่หลากหลายของไทยเพื่อนำไปบรรจุในโปรแกรมเสนอขาย และยังส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและความหลากหลาย ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวของกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
ผู้สื่อข่าว:ปิยะธิดา เพชรดี