ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือ สนช. มีมติรับหลักการ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 ในวงเงิน 2.9 ล้านล้านบาท ในวาระแรกด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 216 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี โดยที่ประชุมได้ตั้งกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 จำนวน 50 คน โดยมีกรอบระยะเวลาในการพิจารณาไม่เกิน 90 วัน
ก่อนหน้านี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวชี้แจงสรุปการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 ต่อที่ประชุมว่า ในการจัดอัรดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ที่มีการกล่าวหาว่าประเทศไทยมีการซื้อคะแนนเสียงนั้นไม่เป็นความจริงซึ่งคะแนนเฉลี่ยของประเทศไทยในหลายด้านดีขึ้น โดยคนที่กล่าวหาซื้อคะแนนเสียง ไม่ทราบว่าเอาอะไรคิด แต่ยอมรับว่าระบบสาธารณสุขและการศึกษาของประเทศไทยยังไม่ดีจริง แต่ยังสามารถแก้ปัญหาได้และต้องไม่มีการทุจริตซึ่งควรปรับปรุงบุคลากรทางการแพทย์ทั้งการเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพในการทำงาน
ส่วนด้านการศึกษาต้องเพิ่มจำนวนครูให้เท่ากับผู้เรียนต้องมีการทำแบบทดสอบอัตนัยที่เป็นการคิดวิเคราะห์และปัญหาของเด็กไทยในปัจจุบันคือเขียนเรียงความไม่เป็นสรุปใจความสำคัญไม่ได้ ย่อความ เขียนบทความไม่เป็น
ขณะเดียวกันต้องตรวจสอบการทำงานของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หลังสมาชิก สนช. ร้องเรียนว่ามีการทำงานที่ไม่ปกติ ทั้งเรื่องการขึ้นทะเบียนเกษตรกรและการจัดสรรเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนเรื่องการขึ้นทะเบียน เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย นายกรัฐมนตรีระบุว่า พอรัฐบาลจะให้ขึ้นก็ไม่ขึ้นทางการขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อยและทะเบียนเกษตรกรแต่พอเห็นว่ารัฐบาลจ่ายเงินก็แห่กันมาขึ้น ส่วนการขึ้นทะเบียน SMEsผู้ประกอบการก็กลัวว่าจะเสียภาษี ทำให้รัฐบาลไม่รู้ว่าปัจจุบันมีผู้มีรายได้น้อยที่แท้จริงจำนวนเท่าไร
ขณะเดียวกัน ควรสนับสนุนเรื่องการวิจัยที่จำเป็น เช่น การผลิตอาวุธและการผลิตยารักษาโรคทุกวันนี้ที่มีการนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์เพราะประเทศไทยยังผลิตเองไม่ได้ส่วนงานวิจัยชิ้นใดที่ขึ้นหิ้งมาแล้วใช้ไม่ได้ต้องทิ้งให้หมด นำมาใช้เฉพาะพื้นที่ต่อยอดได้ ส่วนการดูแลผู้สูงอายุ รัฐบาลได้จัดสรรงบดูแลผู้สูงอายุ 1,218 ล้านบาท มี 9 แผนงาน เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ด้านกองทุนหลักกองทุนหลักประกันสุขภาพต้องมีการปรับปรุงเพื่อให้ช่วยเหลือประชาชนได้อย่างแท้จริง เพราะกองทุนเหล่านี้ตั้งขึ้นมาเพื่อคะแนนเสียง
ส่วนเรื่องสิทธิมนุษยชนเวลาที่มีผู้กระทำผิดกฎหมายก็มาอ้างว่าเป็นคำสั่งของนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังมีการประท้วงมีการชุมนุมเมื่อใช้ทหารเข้าควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อย ก็ถูกต่างชาติตำหนิเรื่องสิทธิมนุษยชน พอไม่ทำก็บอกว่าฝ่ายความมั่นคงไม่มีน้ำยาผมล่ะเหนื่อยใจจริงๆ
สำหรับการทำโพลเท่าที่เห็นได้คำตอบที่ได้ก็ไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยควรถามแบบที่ตัวเองถามเป็นคำตอบที่สื่อสาร 2 ทาง เหมือนกับ 4 คำถามที่ตัวเองถามกับประชาชน ซึ่งในอนาคตก็อาจถามคำถามกับประชาชนอีก
ขณะที่เรื่องเรือดำน้ำ ความจริงน่าจะให้กลาโหมพัฒนาเรือดำน้ำเอง จะได้ไม่ต้องซื้อเขา ใครกล้าดำนำยังไม่รู้เลย แต่มันจำเป็น กำลังพลต้องมั่นใจ มีแต่คนอื่นที่ไม่ลงเรือดำน้ำที่ไม่มั่นใจ สำหรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 ตัวเองเป็นคนที่อยากให้เขียนแบบนี้ เพราะที่ผ่านมามีการเสนอโครงการที่ไม่ผ่านแล้วเสนอซ้ำแล้วซ้ำอีกหากไม่ผ่านก็ให้ไปจัดทำมาใหม่โดยให้โครงการมีขนาดเล็กลงไม่ใช่ทำแบบเดิมมีการโยกงบประมาณ ประเทศไม่มีการพัฒนา ซึ่งเรื่องโรดแมปต้องคำนึงถึงการทำงานด้วยไม่ใช่เรียกร้องแต่ที่จะเลือกตั้งตามโรดแมป พอบอกใครว่าประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจทุกคนก็ส่ายหัว เราต้องคิดเป็นมหาอำนาจในเรื่องที่เราทำได้ เช่น เป็นมหาอำนาจทางผลไม้
ในระหว่างนี้นายกรัฐมนตรี ยังขอให้ สมาชิก สนช. พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 ให้สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเดินหน้าไปได้โดยเฉพาะรถไฟไทย-จีนที่ตัวเองไปพูดกับต่างประเทศมาหลายครั้งจนอายเค้าก็ไม่รู้ว่าติดปัญหาอะไรนักหนาขอให้เริ่มดำเนินการได้ภายในปีนี้
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณสมาชิกสนช. ในนามรัฐบาลที่รับหลักการ ซึ่งร่างงบประมานดังกล่าว ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่สอดคล้อง ยุทธศาสตร์ชาติ เพิ่มความเชื่อมั่น การพัฒนาประเทศ การกระจายผลประโยชนสู่ประชาชนโดยตรง สำหรับข้อสังเกตที่สมาชิกสนช. ให้อภิปรายในที่ประชุม ได้ฝากให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาตรวจสอบให้รอบคอบยิ่งขึ้นเพื่อให้เกิดประชาชนให้มากที่สุด