กรณีนายภาณุศักดิ์ เตชธีรสิริ หรือ บอย ยูนิตี้ เจ้าของบริษัท เอสทีที ออโต้คาร์ ยืนฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอเป็นเงิน 50 ล้านบาท จากการที่ดีเอสไออายัดรถยนต์ของกลาง และปิดโชว์รูม โดยระบุว่าเกี่ยวเนื่องจากคดีโจรกรรมรถหรู จนทำให้นายภาณุศักดิ์ได้รับความเสียหายในทางธุรกิจ
พันตำรวจโทกรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่าไม่รู้สึกกังวลเพราะเป็นสิทธิ์ที่ผู้เสียหายสามารถทำได้ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้อายัดรถไว้ตามหลักฐานที่มีอยู่ ยืนยันได้ว่ามีการสำแดงเอกสารหลักฐานและราคาที่ไม่ถูกต้อง มีค่าส่วนต่างที่ต่างกันชัดเจน โดยหลักฐานส่วนนี้สามารถนำไปต่อสู้และเอาผิดกับนายภาณุศักดิ์ในชั้นศาลได้
ทั้งนี้ดีเอสไอ มีการชี้แจงเป็นเอกสารในประเด็นนี้ โดยระบุว่าเป็นคดีที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐและคดีที่เป็นที่สนใจของสาธารณะ โดยขอชี้แจงว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญายึดหรืออายัดทรัพย์สิน (รถยนต์) ไว้เป็นของกลางในคดีพิเศษ เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี และมีอำนาจตามกฎหมายจะยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วจะคืนแก่ผู้ต้องหาหรือแก่ผู้อื่นซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอ เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 อย่างไรก็ตาม เมื่อบริษัท เอสทีที ออโต้คาร์ จำกัด เห็นว่า การกระทำของพนักงานสอบสวน ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้บริษัทได้รับความเสียหายย่อมเป็นสิทธิตามกฎหมายที่จะใช้สิทธิในทางศาลฟ้องดีเอสไอได้ แต่ต้องเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5
ดีเอสไอขอเรียนว่า การสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวนในหลายๆ คดีที่สำคัญ และมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อองค์กรอาชญากรรม องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ นักการเมืองที่มีตำแหน่งและถืออำนาจรัฐ ผู้มีขีดความสามารถทางด้านการเงินสูง จะมีการยื่นฟ้องดีเอสไอต่อศาลแพ่งหรือศาลอาญาหลายครั้งหลายคราว ทั้งที่สุจริตบ้างและไม่สุจริตบ้าง ซึ่งเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของฝ่ายผู้ต้องหาเพื่อจะใช้อำนาจศาลเข้าตรวจสอบพยานหลักฐาน และทำลายความน่าเชื่อถือและน้ำหนักของพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน ถือว่าเป็นกลไกในระบบของกระบวนการยุติธรรมที่เปิดโอกาสให้ศาลมีการตรวจสอบ-ถ่วงดุลการใช้อำนาจของรัฐอยู่แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ทำได้ เนื่องจากประเทศไทยไม่มีข้อห้ามในเรื่องความผิดการขัดขวางกระบวนการยุติธรรม
สำหรับผู้บริโภคและผู้เสียหายที่ถูกบุคคลหรือคณะบุคคลหลอกลวงให้ซื้อรถยนต์โดยมิชอบ ดีเอสไอ ตระหนักถึงปัญหานี้ จึงได้หารือร่วมกับกรมศุลกากร และเห็นว่า สำหรับผู้เสียหายหรือเจ้าของหรือผู้ซึ่งมีสิทธิเรียกร้อง ที่ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิดของผู้นำเข้า ดีเอสไออนุญาตให้สามารถมารับรถยนต์ของกลางไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์โดยไม่มีประกันหรือมีประกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85/1
สำหรับรถยนต์ของกลางที่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมจากต่างประเทศ เนื่องจากตามกฎหมายและข้อตกลงจะต้องมีการส่งรถยนต์คืนให้กับประเทศผู้เสียหาย ดีเอสไอจึงไม่อาจอนุญาตให้ผู้เสียหายหรือเจ้าของหรือผู้ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องนำรถยนต์ ของกลางคืนไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ได้ในขณะนี้
ทั้งนี้ ดีเอสไอและกรมศุลกากร อยู่ระหว่างหารือแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาสำหรับเรื่องนี้ให้กับผู้บริโภคและผู้เสียหายอย่างเร่งด่วนและหากผลการหารือมีความคืบหน้าเป็นประการใดจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบเป็นระยะ
...
ผสข.สมจิตร์ พูลสุข