การแถลงข่าวคดีฆ่าหั่นศพ ที่อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. เป็นประธาน พร้อมด้วย พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.มนู เมฆหมอก ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ต.เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 พล.ต.อ.จักรทิพย์ เปิดเผยว่าภายหลังการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 คน คือ นางสาวปรียานุช โนนวังชัย หรือ เปรี้ยว นางสาวกวิตา ราชดา หรือ เอิร์น และนางสาวอภิวันท์ สัตยบัณฑิต หรือ แจ้ ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพ นานกว่า 30 นาที ว่าตลอดการพูดคุยกีบผู้ต้องหาได้สารภาพทุกข้อกล่าวหา โดยตำรวจได้ตั้งข้อกล่าวหา 3 ข้อหา คือ ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา อำพรางซ่อนเร้นศพและลักทรัพย์ ซึ่งมูลเหตุของการฆาตกรรมมาจากความแค้นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับขบวนการค้ายาเสพติด ตามที่มีกระแสข่าว แต่เนื่องจากในปี 2559 ผู้ตาย คือน.ส.วริสสา กลิ่นจุ้ย หรือแอ๋ม พนักงานร้านคาราโอเกะ ได้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวในคดียาเสพติด และได้มีการสอบสวนขยายผลไปถึงน.ส.เปรี้ยว รวมถึงน.ส.แอ๋มได้ยืมเงินน.ส.เปรี้ยว เป็นจำนวน 4 หมื่นบาท ทำให้ผู้ต้องหาแค้น นอกจากนี้ จากการสอบถามเบื้องต้น ผู้ต้องหาอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาฆ่า เพราะไม่ได้เจอกับน.ส.แอ๋มมากว่า 1 ปีแล้ว แต่ในวันนั้นได้เจอกับน.ส.แอ๋มโดยบังเอิญ ในเวลา 01.00น.ของวันที่ 25 พ.ค. เลยได้เรียกน.ส.แอ๋มขึ้นรถเพื่อต้องการที่จะสั่งสอน แต่มีปากเสียงกันจึงกระทำการรุนแรงด้วยการบีบคอจนเสียชีวิต ซึ่งผู้ต้องหาให้การว่าขณะนั้นรู้สึกตกใจจึงทำอะไรไม่ถูก จึงคิดว่าต้องอำพรางศพ ซึ่งคิดได้ 2 วิธีคือนำไปถ่วงน้ำ แต่เกรงว่าศพจะลอยน้ำขึ้นมาจึงใช้วิธีหั่นศพเพื่ออำพราง โดยน.ส.เปรี้ยวให้การซัดทอดด้วยว่ามี นายวศิน นามพรหม เป็นผู้ช่วยในการหั่นศพ แล้วได้นำศพไปทิ้ง ขณะที่ นายธวัชชัย อ้อมชมพู หรือเก้า ที่ช่วยเหลือผู้ต้องหาทั้ง 3 คนให้การหลบหนีเข้าไปประเทศเมียนมาร์ พบว่าเป็นผู้ต้องหาในคดียาเสพติด ซึ่งยังหลบหนีอยู่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การเข้ามอบตัวของทั้ง 3 คน เกิดจากความร่วมมือในการติดตามตัวของทั้ง 2 ประเทศ และกดดันไม่ให้มีการให้ที่พักพิงและรับเข้าทำงาน ทำให้ผู้ต้องหาหมดหนทางที่จะไป เลยตัดสินใจเข้ามามอบตัว อีกทั้งผู้ต้องหาสารภาพว่าไม่อยากให้ผู้ที่ให้ที่พักพิงให้ความเดือดร้อน ผู้ต้องหาให้การยืนยันว่าต้องการเข้ามอบตัวตั้งแต่วันแรกที่ก่อเหตุ แต่ที่เข้ามอบช้าเพราะเพิ่งได้สติ และรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปผิด พร้อมยืนยันว่าการหลบหนีไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ส่วนการตั้งข้อสังเกตของสังคมที่อยากให้ประหารชีวิตผู้ต้องหา ตามบทลงโทษของผู้กระทำการฆาตกรรม โทษสูงสุดคือประหารชีวิตอยู่แล้ว แต่การพิจารณาว่าจะประหารหรือไม่ประหารเป็นดุลยพินิจของศาลพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ยังชี้แจงกรณีที่ไม่ใส่กุญแจมือ และภาพอิริยบทที่ผ่อนคลาย ทั้งสูบบุหรี่และแต่งหน้า เพราะเชื่อว่าผู้ต้องหาจะไม่หลบหนี เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิง ส่วนที่มีภาพปรากฏใน Social Media ว่าภายหลังก่อเหตุผู้ต้องหายังคงใช้ชีวิตตามปกติและโพสต์ Facebook นั้น เชื่ิอว่าผู้ต้องหาคงคิดว่าไม่มีใครรู้ถึงการกระทำของตัวเองซึ่งผู้ต้องหาให้การว่าได้ทิ้งซิมการ์ดไปตั้งแต่หลังก่อเหตุแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะมีการนำตัวผู้ต้องหาไปที่จังหวัดขอนแก่นภายในคืนนี้ และมีการทำแผนประกอบคำรับสารภาพภายในวันพรุ่งนี้ประมาณ 7-8 จุด ผู้สื่อข่าว:ปิยะธิดา เพชรดี