+++เกิดเหตุรนแรงในฟิลิปปินส์อีก สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เกิดเหตุมือปืนสวมหน้ากากรายหนึ่งอยู่บนชั้น 2 ของโรงแรมที่รีสอร์ท เวิลด์ มะนิลา และยิงคนที่อยู่ภายในรีสอร์ท ทั้งนี้ รีสอร์ทนี้เป็นรีสอร์ทครบวงจรในนิวพอร์ต ซิตี แหล่งที่พักอาศัยและศูนย์กลางการค้าในกรุงมะนิลา มีทั้งโรงแรม ร้านอาหารและบาร์ คาสิโน ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์และโรงละคร รีสอร์ทแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ อยู่ตรงข้ามกับสนามบินนานาชาติ Ninoy Aquino กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ฯเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว
+++ทันที่ที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ รถดับเพลิงและหน่วยสวาท รีบเดินทางไปยังที่เกิดเหตุประมาณ 01.30 น.ตามเวลาท้องถิ่นวันศุกร์ หรือตรงกับ 00.30น. ตามเวลาในประเทศไทย ในช่วงแรกของเหตุการณ์ ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น มีการเผยแพร่ภาพกลุ่มควันลอยพวยพุ่งขึ้นจากอาคารหลังหนึ่งของรีสอร์ท ได้ยินเสียงคนที่เข้ามาพักส่งเสียงร้องตะโกน และหวาดกลัว เจ้าหน้าที่กันคนออกมาจากภายใน และปิดการเข้าออกภายในรีสอร์ท
+++สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานอ้าง นายโรนัล เดลลาโรซ่า หัวหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ไม่ใช่การโจมตีของผู้ก่อการร้าย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนและพนักงานหลายร้อยคนรีบวิ่งออกจากโรงแรม พนักงานบางคน บอกว่า เห็นผู้ต้องสงสัยสองคนสวมชุดสีดำและถืออาวุธปืนยาว
+++เจ้าหน้าที่ของสภากาชาดฟิลิปปินส์ กล่าวว่า มีอย่างน้อย 25 คนได้รับบาดเจ็บ รายงาน The Manila Times สภากาชาดฟิลิปปินส์ทวีตข้อความว่าได้ส่ง คนคนสามคนจากรีสอร์ทไปยังโรงพยาบาล
+++สถานการณ์ภายในประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกิดเหตุปะทะกันระหว่างกองกำลังรัฐบาลและกลุ่มกบฎในเมืองมาราวี ทำให้ชาวบ้านอย่างน้อย 70,000 คนต้องอพยพถิ่นฐานและมีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 140 ศพ ทั้งนี้ปฏิบัติการบุกยึดเมืองของพวกก่อการร้าย เกิดขึ้นในขณะที่ชาวมุสลิมทั่วโลกกำลังเริ่มต้นเดือนรอมฎอน ทำให้ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ประกาศกฎอัยการศึกบนเกาะมินดานา จนกระทั่งล่าสุดเกิดเหตุกราดยิงเกิดขึ้นที่รีสอร์ทดังกล่าว
+++บีบีซี รายงานอ้างสถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ(ไออีพี) สถาบันจัดอันดับดัชนีสันติภาพของโลกซึ่งมีสำนักงานอยู่ในเมืองซิดนีย์ ออสเตรเลียว่า ระดับของสันติสุขทั่วโลกในปัจจุบันเริ่มดีขึ้นกว่าปีก่อนเล็กน้อย เพียงร้อยละ 0.28 นับเป็นครั้งแรกที่ดัชนีชี้วัดสันติสุขเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เกิดสงครามในซีเรียเมื่อ 6 ปีก่อน
+++รายงานระบุว่า 5 ประเทศที่เกิดเหตุรุนแรงมากที่สุดคือซีเรีย อัฟกานิสถาน อิรัก เซาท์ซูดานและเยเมน ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือมีสันติสุขน้อยที่สุดในโลก ส่วนประเทศที่มีสันติสุขมากที่สุดในโลกคือไอซ์แลนด์ ซึ่งรั้งอันดับที่หนึ่งของโลกมานับตั้งแต่ปี 2551 รองลงมาคือนิวซีแลนด์ โปรตุเกส ออสเตรียและเดนมาร์ก
+++สำหรับประเทศไทยถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 125 จากจำนวนทั้งหมด 163 ประเทศทั่วโลก เหตุรุนแรงต่างๆสร้างความสูญเสียให้กับเศรษฐกิจไทยเป็นมูลค่า5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯในปีที่แล้ว ทีมนักวิจัยได้ตั้งข้อสังเกตว่าความปรองดองในสหรัฐฯเริ่มลดลง มีการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะคดีฆาตกรรมสูงขึ้น ส่งผลให้ระดับสันติสุขในสหรัฐฯลดลงในภาพรวม
+++ ส่วนยุโรปเกิดเหตุก่อการร้ายรวม 23 ครั้งเมื่อปีที่แล้ว แต่เหตุรุนแรงมีเฉพาะในบางประเทศเท่านั้นเช่นฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยียมและตุรกี ในภาพรวมถือว่ายุโรปเป็นภูมิภาคที่มีความสงบสุขมากที่สุดในโลก
+++รายงานตั้งข้อสังเกตว่าร้อยละ 60 ของประเทศต่างๆทั่วโลกมีอัตราก่อการร้ายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน แต่รายงานนี้ไม่ครอบคลุมถึงเหตุโจมตีในเมืองแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักรเมื่อเดือนก่อน การศึกษาเรื่องนี้นักวิจัยใช้ดัชนีหลายเรื่องเป็นองค์ประกอบในการพิจารณา รวมถึงสถิติเหตุฆาตกรรม ความยากง่ายในการซื้อหาอาวุธมาใช้ ผลกระทบจากเหตุก่อการร้ายและจำนวนกำลังทหารต่อสัดส่วนประชากร เป็นต้น
+++หลังจากที่มีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะถอนชื่อสหรัฐฯออกจากข้อตกลงเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ลงนามไว้ในกรุงปารีส ฝรั่งเศสเมื่อปี 2558 ล่าสุด เป็นไปตามความคาดหมายของหลายฝ่าย นายทรัมป์ แถลงว่า สหรัฐฯจะยกเลิกข้อตกลงในปัจจุบัน แต่ก็เปิดกว้างสำหรับการเจรจาข้อตกลงใหม่ และจะดูว่าสามารถทำความตกลงที่เป็นธรรมได้หรือไม่ หากทำได้ก็ดีเยี่ยมมาก แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เนื่องจากถึงวันนี้ สหรัฐฯจะยุติการดำเนินการทุกอย่าง ตามความตกลงปารีสที่ไม่มีผลผูกพันทางกฏหมาย และที่สร้างภาระหนักอึ้งทางการเงินและเศรษฐกิจต่อประเทศ ประธานาธิบดีทรัมป์ แย้งว่า ความตกลงปารีสเป็นข้อตกลงที่แย่สำหรับชาวอเมริกัน และเขาต้องทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งว่าชาวอเมริกันจะต้องมาก่อน
+++การตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจำกัดการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิโลก เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน
+++กองทัพเรือและกองทัพอากาศญี่ปุ่น เริ่มต้นการซ้อมรบ 3 วันกับเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำของสหรัฐฯคือเรือยูเอสเอส โรนัลด์ เรแกนและเรือยูเอสเอส คาร์ลวินสัน พร้อมเรือคุ้มกันลำอื่นๆในทะเลญี่ปุ่น เพิ่มแรงกดดันให้เกาหลีเหนือ ยุติโครงการทดสอบขีปนาวุธหลังการทดสอบมาหลายครั้งในช่วงหลังๆมานี้
+++ก่อนหน้านี้ เรือยูเอสเอส คาร์ล วินสัน ได้แล่นเข้าไปยังทะเลญี่ปุ่น ทางตะวันออกของคาบสมุทรเกาหลีเมื่อปลายเดือนเมษายน เพื่อร่วมการซ้อมรบกับกองทัพเกาหลีใต้และแสดงแสนยานุภาพทางทหารหลังเกิดความตึงเครียดสูงบนคาบสมุทรเกาหลี หลังเกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลมาหลายครั้งและพูดเป็นนัยว่าจะทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 ในอนาคตอันใกล้
+++ผลการสอบเหตุเครื่องบินลำเลียงของกองทัพอากาศรัสเซีย รุ่นทียู-154 กำลังมุ่งหน้าไปซีเรีย และเกิดตกในทะเลดำเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมปีก่อน มีคนเสียชีวิต 92 ศพ ล่าสุด ผลสอบออกมาระบุว่า มีสาเหตุหลักมาจากความผิดพลาดของนักบิน นักบินหาระบบบอกพิกัดของเครื่องบินไม่เจอและเพิกเฉยต่อเสียงเตือนของสัญญาณแจ้งเตือนในห้องนักบิน คาดว่าเครื่องบินอาจจะบินขึ้นฟ้าในลักษณะชันและเร็วเกินไป ส่วนสาเหตุรองลงมาคือความเหนื่อยล้าของนักบิน ไม่มีหลักฐานว่ามีปัจจัยภายนอกทำให้เครื่องบินตก
+++ความเคลื่อนไหวราคาน้ำมัน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 4 เซนต์ ปิดที่ 48.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอนงวดส่งมอบเดือนสิงหาคม ลดลง 13 เซนต์ ปิดที่ 50.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
+++ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งแรง โดยดัชนีหลักต่างทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังข้อมูลต่างๆบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 135.53 จุด ปิดที่ 21,144.18 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 18.26 จุด ปิดที่ 2,430.06 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 48.31 จุด ปิดที่ 6,246.83 จุด รายงานการจ้างงานภาคเอกชนของสถาบันเอดีพี พบว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯมีการจ้างงานภาคเอกชน เพิ่มขึ้น 253,000 อัตราในเดือนพฤษภาคม เหนือกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายว่าจะเพิ่มขึ้น 185,000 อัตรา
+++ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวอาจส่งสัญญาณว่าข้อมูลการจ้างงานของรัฐบาลที่จะเผยแพร่ในวันศุกร์(2มิ.ย.) รวมถึงตัวเลขการจ้างงานทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ น่าจะออกมาแข็งแกร่งและเพิ่มความคาดหมายว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
+++ราคาทองคำ ปิดลบพอสมควร หลังดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จากแรงหนุนของข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 5.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,270.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์
CR:CNN