ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า เชื้อราจากมูลนก ทำให้เป็นโรคปอดอักเสบ โดยหนึ่งในเชื้อก่อโรคที่น่าเป็นห่วงและพบในมูลนกพิราบในประเทศไทย ได้แก่ เชื้อราคริปโตคอคคัส นีโอฟอร์แมนส์ (Cryptococcus neoformans) พบมากในมูลนกตระกูลนกพิราบและนกอื่น ๆ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเชื้อราได้ดีในสภาวะชื้นและแสงแดดส่องไม่ถึง มีอุณหภูมิระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส ประชาชนรับเชื้อด้วยการหายใจเอาสปอร์หรือตัวเชื้อราเข้าไปในปอด
โดยทั่วไปเชื้อราและสปอร์จะมีน้ำหนักเบาและถูกพัดพาให้กระจายไปในอากาศได้ง่าย หากเข้าใกล้บริเวณที่มีรังนก หรือเป็นโรงเรือนเลี้ยงนก หรืออยู่ใกล้กรงนกที่ไม่ได้ทำความสะอาด ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะหายใจเอาเชื้อราหรือสปอร์ของเชื้อราเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ เชื้อนี้จะมีผลที่ปอดแล้วลามไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายผ่านทางกระแสเลือด ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะมากขึ้นเรื่อยๆ ร่วมกับอาการหน้ามืด วิงเวียน ปวดขมับ เบ้าตา บางครั้งอาจถึงอาเจียน ไอและมีเสมหะปนเลือด มีไข้ต่ำ น้ำหนักลด อาจมีหลอดลมอักเสบร่วมด้วย ในบางรายจะไม่แสดงอาการ แต่เชื้อจะฟักตัวในร่างกายเป็นเวลาหลายปี จนเมื่อร่างกายอ่อนแอหรือภูมิคุ้มกันบกพร่องจะแสดงอาการออกมา โดยเชื้ออาจพบได้มากในกลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งจะมีอาการรุนแรงกว่าคนปกติและรักษาได้ยากกว่า การรักษาต้องใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลาระยะหนึ่ง และรักษาตามอาการอื่น ๆ
ดร.นพ.พรเทพ แนะนำว่า ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำควรจะหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อ และรู้จักป้องกันตัวเอง เช่น สวมผ้าปิดปากและจมูกเวลาทำความสะอาดอาคารเก่าหรือบริเวณที่พบนกอาศัยอยู่ เพราะอาจเป็นแหล่งที่มีเชื้อโรคจากมูลนกปนเปื้อน และล้างมือทุกครั้งหลังทำความสะอาด นอกจากนี้การไล่นกจากที่อยู่อาศัยสามารถทำได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ กั้นตาข่าย ตะแกรง หรือขึงเอ็นกีดขวางเพื่อไม่ให้นกทำลายแล้วเข้ามาอาศัยในอาคารได้ หรือการไล่นกด้วยกลิ่น เช่น กลิ่นสกัดจาก สารในเม็ดองุ่น หรือใช้สารเคมีที่มีผลโดยตรงกับเยื่อบุหลอดลมของนก ได้แก่ การบูร พิมเสน ลูกเหม็น ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สมุนไพรผ่านกระบวนการผลิตด้วยระบบนาโนเทคโนโลยี ใช้พ่นเพียงครั้งเดียวแต่สามารถออกฤทธิ์ได้ยาวนานหลายเดือน
....