หลังประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงกรณีการปฏิรูปตำรวจ ที่คณะกรรมาธิการร่วมระหว่าง สภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือ สนช.-สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศหรือ สปท. ต้องการให้ไปอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงยุติธรรม นายกรัฐมนตรีระบุว่า ต้องพิจารณาว่าข้อเสนอดังกล่าวมีความเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสังกัดกระทรวงมหาดไทยและต่อมาย้ายมาอยู่ ภายใต้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรี เสนอว่าให้ตำรวจในพื้นที่บางส่วนไปอยู่ภายใต้สังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคง ภายในราชอาณาจักรของแต่ละจังหวัด โดยร่วมมือแก้ปัญหาและทำงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะบอกว่าการดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรมจะต้องมีการกระจายอำนาจแต่ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าวเป็นเพียงแนวคิดของตนไม่ใช่ข้อยุติ เพราะจะต้องไปดูในเรื่องโครงสร้างภายใน ว่าการปรับแก้ปัญหาจะทำได้หรือไม่ จะสามารถอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้อย่างไร ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการปฏิรูป ตำรวจตามที่ในรัฐธรรมนูญกำหนดไว้
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงข้อเสนอของกระทรวงคลัง เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 1,200-1,500 บาทต่อเดือนว่า จะต้องไปดำเนินการศึกษาเพื่อพิจารณาเนื่องจากจะต้องมีการเพิ่มงบประมาณซึ่งตามพระราชบัญญัติเดิม เบี้ยยังชีพคนชราจะอยู่ที่ 600 ถึง 1000 บาทซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นการเตรียมการเนื่องจากประเทศไทยมีผู้สูงอายุสูงสุด1ใน2ของอาเซียน และภายในอีก4-5ปีข้างหน้าก็จะเพิ่มสูงขึ้นอีก จึงต้องเตรียมงบประมาณในการดูแล และควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ลาการประชุมครม. ว่า ได้คุยกับพล.อ.ประวิตร ทางโทรศัพท์กันอยู่ตลอดเพราะบางทีไม่ว่างเจอกัน และล่าสุดเมื่อวานนี้(22 พ.ค.) ก็เพิ่งคุยกัน ซึ่งทราบเพียงว่าลากิจไปทำธุระส่วนตัว ส่วนที่มีการระบุว่า พล.อ.ประวิตร ไม่สบาย จึงลาป่วยนั้น หากไม่สบายก็เป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครสบายได้ทุกวัน โดยเฉพาะคนที่อายุ 70 เพราะ ขนาดตนอายุ 60 กว่า ยังมีอาการป่วยบ้าง แต่ไม่เคยบอกใคร เพราะไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนต้องมาสนใจ