ผลการพิจารณาศึกษาแผนการปฏิรูปกิจการตำรวจของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาแผนการปฏิรูปกิจการตำรวจ ในคณะกรรมการประสานงานระหว่างสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และสภาขับเคลื่อน การปฏิรูปประเทศ (สปท.) โดยมีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานระหว่าง สนช. และ สปท. เป็นประธานเปิดการแถลงข่าว พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพาณิชย์ ประธานอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาแผนการปฏิรูปกิจการตำรวจ เปิดเผย ข้อเสนอการปฏิรูปตำรวจที่เตรียมจะส่งไปยังรัฐบาล เพื่อการดำเนินการต่อไปว่า ได้เสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้การทำงานร่วมกับตำรวจ อัยการ ศาล มีการประสานงานอย่างใกล้ชิด โดยให้วุฒิสภา (ส.ว.) ควบคุมการบริหารงานประจำปี ส่วนการโยกย้าย และแต่งตั้งข้าราชการตำรวจนั้น จะต้องมีการนำผลการศึกษาอบรมมาใช้เป็นข้อมูลประกอบ เพื่อคัดกรองบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง โดยได้วางหลักเกณฑ์กลางในการเลื่อนตำแหน่ง ที่จะต้องยึดหลักอาวุโสไม่น้อยกว่า 50% และจะต้องดำรงตำแหน่งในโรงพัก และทำคดีไม่น้อยกว่า 70 คดี หรือด่านตรวจคนเข้าเมือง ไม่น้อยกว่า 2 ปี เว้นแต่ เป็นบุคคลที่สอบได้ลำดับที่ 1 ของแต่ละรุ่นในหลักสูตรสารวัตร, ผู้กำกับ หรือในหลักสูตรบริหารงานตำรวจขั้นสูง ที่จะได้สิทธิเลื่อนตำแหน่ง เมื่อมีคุณสมบัติพื้นฐานครบ
ส่วนการลงโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำความผิดประพฤติมิชอบ จะต้องมีการลงโทษจริงจัง และพิจารณาข้อบกพร่องของผู้บังคับบัญชาที่ปล่อยปละละเลย สำหรับเครื่องมือในการทำงานนั้น จะต้องสนับสนุนให้เหมาะสม เพื่อให้ตำรวจสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสวัสดิการอัตราเงินเดือนและสวัสดิการอื่น ๆ จะต้องให้เพียงพอแก่การดำรงชีพ เลี้ยงครอบครัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้โดยไม่เดือดร้อน ไม่มีหนี้สินพ้นตัว
โดยคณะอนุกรรมาการฯ ได้ตั้งเป้าหมายว่า การปฏิรูปตำรวจภายใน 1 ปีแรกนั้น การคัดเลือกบุคคลเพื่อเป็นตำรวจ จะต้องมีวิธีและรูปแบบที่เหมาะสม ทั้งความประพฤติ ทัศนคติและจิตใจ และปรับปรุงองค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (กตร.)และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ตช.)จะต้องมีธรรมาภิบาล และการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะต้องคำนึงถึงความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และจะต้องแต่งตั้งตามวาระประจำปีอย่างเคร่งครัด ภายใน 3 ปี และจะต้องขยายงานสำนักงานพิสูจน์หลักฐานจังหวัด และโรงพักให้ได้ไม่ร้อยกว่าร้อยละ 70 และนำระบบอิเลคทรอนิค เข้ามาตรวจสอบ เพื่อลดการทุจริตคอร์รัปชั่น พร้อมเร่งพัฒนาระบบกล้องวงจรปิดตามท้องถนน และระบบออนไลน์ให้ได้ทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ภายใน 5 ปี เนื่องจากหลายคดี สามารถติดตามคนร้ายได้จากกล้องวงจรปิด