กรมการขนส่งทางบกลงพื้นที่ตรวจรถแท็กซี่และรถโดยสารสาธารณะและรถโดยสารทุกชนิด บริเวณจุดรับ-ส่งผู้โดยสารขาออก รวมไปถึงสถานีรถโดยสารประจำทางภายในสนามบินสุวรรณภูมิ นายอาลี รัมเนตร เจ้าพนักงานขนส่งชำนาญงาน เป็นหัวชุดปฏิบัติการ ลงพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ จุดแรกที่เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ได้ลงพื้นที่ตรวจเป็นจุดที่รถแท็กซี่ และรถโดยสารไม่ประจำทางเข้ามาส่งผู้โดยสาร บริเวณอาคารผู้โดยสารขาเข้าชั้น 4 ของสนามบินสุวรรณภูมิ โดยในส่วนของรถแท็กซี่โดยสารเจ้าหน้าที่จะเน้นตรวจเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัย สภาพอายุการใช้งานของรถ การจดทะเบียนรถ รวมไปถึงการแต่งกาย และการแสดงบัตรประจำตัวของผู้ขับขี่อีกด้วย เช่นเดียวกับรถบัสและรถตู้โดยสารไม่ประจำทางที่เน้นตรวจในเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัย และการนำรถเข้าตรวจเช็คสภาพรถ ซึ่งรถโดยสารทุกชนิดจะต้องนำรถไปตรวจเช็คสภาพตามที่นายทะเบียนกำหนดปีละ 2 ครั้ง
หลังจากการลงพื้นที่บริเวณดังกล่าว เบื้องต้นพบว่ามีรถโดยสารธารณะ ที่กระทำผิดเป็นการใช้รถโดยไม่จดทะเบียน และไม่นำรถเข้าตรวจเช็คสภาพ ทั้งหมด 9 คัน แบ่งเป็นรถแท็กซี่ 1 คัน และรถบัสโดยสารไม่ประจำทางและรถตู้โดยสารไม่ประทางรวม 8 คัน โดยเจ้าหน้าได้ทำการเปรียบตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
จากนั้นเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ก็ได้ลงพื้นที่ตรวจความเรียบร้อยของรถแท็กซี่ที่มารับผู้โดยสารออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ บริเวณชั้น 1 ของอาคารผู้โดยสาร ซึ่งไม่พบว่ามีแท็กซี่ที่มีการกระทำความผิด เนื่องจากรถแท็กซี่ที่มาให้บริการจุดนี้เป็นรถแท็กซี่ที่มีการลงทะเบียน กับการท่าอากาศยานแล้วทุกคัน ตามเงื่อนไข และบันทึกประวัติผู้ขับขี่เพื่อให้ง่ายกับการติดตามตัวหากเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือหากผู้โดยสารลืมสัมภาระ
ส่วนการลงพื้นที่ตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะบริเวณสถานีให้บริการรถประจำทางภายในสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นจุดที่ 3 เจ้าหน้าที่ ได้ สำรวจรถตู้โดยสารสาธารณะ ที่ให้ปรับจำนวนที่นั่งผู้โดยสาร ให้ไม่เกิน 13 ที่นั่ง และมีช่องทางว่างด้านท้าย เพื่อเป็นทางออกฉุกเฉิน ตามคำสั่งมาตรา 44 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)เรื่องเพิ่มความปลอดภัยในรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งจะเริ่มดีเดย์ใช้กฎหมายจับ - ปรับในอัตราเบื้องต้นในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ โดยเจ้าหน้าที่ได้ประชาสัมพันธ์และทำการกำชับสำหรับผู้ประกอบการที่นำรถมาให้บริการให้เร่งดำเนินการก่อนถึงกำหนดเวลา แต่อย่างไรก็ตามจากการสำรวจพบว่ารถตู้โดยสารสาธารณะส่วนใหญ่ที่มาให้บริการ ประชาชนในบริเวณนี้ ได้ปฏิบัติตามโดยมีการนำเบาะด้านท้ายรถออกเพื่อทำเป็นทางออกฉุกเฉินแล้ว ขณะที่บางส่วนอยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไข