ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 07.30 น.
+++14 เมษายน 2560 วันครอบครัว เริ่มด้วยข่าวสร้างความหวังให้กับ ผู้สูงอายุทั่วประเทศเมื่อรัฐบาลเล็งเพิ่มเบี้ยยังชีพจากเดิมหัวละ 600 บาทต่อเดือน เป็นรายละ 1,200-1,500 บาท ย้ำเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมีแนวคิดเพิ่มเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุจากเดิมที่ได้รับ600 บาทต่อเดือน เป็นรายละ 1,200-1,500 บาท เพื่อให้เหมาะสมกับค่าครองชีพในปัจจุบัน โดยระหว่างนี้กำลังศึกษารายละเอียด เช่น การระดมเงินทุนจากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หรือกองทุนสนับสนุนการกีฬา รวมถึงผู้สูงอายุที่มีฐานะดีอยู่แล้วและยอมเสียสละเบี้ยยังชีพคนชราอีกส่วนหนึ่ง เพื่อจัดตั้งเป็นกองทุนผู้สูงอายุ โดยจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนหลังการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยรอบที่ 2 แล้ว นอกจากเรื่องเบี้ยยังชีพที่เป็นรายได้ประจำเดือนของผู้สูงอายุแล้ว รัฐบาลยังจะให้การดูแลเรื่องการประกอบอาชีพด้วย โดยในปีนี้ตั้งเป้าให้ผู้สูงอายุมีงานทำและมีรายได้เพิ่ม 39,000 อัตรา โดยเฉพาะในชนบทผ่านวิสาหกิจชุมชน และออกมาตรการจูงใจให้องค์กรต่างๆ จ้างงานผู้สูงอายุ ส่วนด้านที่พักอาศัยของผู้สูงอายุนั้น มีการดำเนินงานหลายรูปแบบ เช่น โครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร หรือซีเนียร์คอมเพล็กซ์ ที่รวมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไว้ในที่เดียวกัน เช่น ร้านอาหาร โรงพยาบาล ฯลฯ หรือโครงการบ้านกตัญญู ที่มีรูปแบบและสภาพแวดล้อมเหมาะกับการพักอาศัยของผู้สูงอายุและลูกหลาน
+++สรุปผลสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ประจำวันที่ 12 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการรณรงค์ในช่วง 7 วันอันตราย 11-17 เมษายน โดย นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานแถลงสรุปผลสถิติว่า เกิดอุบัติเหตุ 586 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 48 ราย และ บาดเจ็บ 636 คนรวมสถิติ 2 วัน ระหว่าง 11-12 เมษายน เกิดอุบัติเหตุ 995 ครั้ง เสียชีวิต 82 ราย บาดเจ็บ 1,049 คน โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ 33 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี 4 ราย และจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุดได้แก่ เชียงใหม่ 32 คน ขณะเดียวกัน มี 31 จังหวัด ที่ยังไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนจังหวัดที่ไม่มีผู้บาดเจ็บในช่วง 2 วัน ได้แก่ ชัยภูมิ สำหรับจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ 51 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ นครราชสีมา 6 ราย และ จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุดได้แก่ เชียงใหม่ 48 คน ขณะที่สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เมาแล้วขับ ร้อยละ 43.32
+++นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย แถลงภาพรวมผลการดำเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2560 ว่า ผ่าน 2 วัน สำหรับปีนี้ภาพรวมมีผู้เสียชีวิตน้อยกว่าปี 2559 แต่จำนวนครั้งของอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ร้อยละ 46 มีสาเหตุจากการเมาแล้วขับ จึงขอฝากช่วยรณรงค์เมาไม่ขับในสงกรานต์นี้ ส่วนมาตรการป้องกันอุบัติเหตุทางกระทรวงมหาดไทยขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ให้จัดชุดปฏิบัติการประจำตำบลหมู่บ้านสำรวจตรวจสอบในหมู่บ้านว่าบ้านไหนจะจัดงานรื่นเริง ต้องมีที่จอดรถและคนรับฝากกุญแจ หากใครเมาสุราห้ามคืนกุญแจรถจนกว่าจะมีผู้ที่ไม่เมา หรือ ญาติมารับกุญแจ
+++ พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)แถลงว่า สถิติการกระทำผิดในวันที่ 12 เมษายนซึ่งเป็นวันแรกตามมาตรการ “ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ” เจ้าหน้าที่ได้ยึดรถที่ดื่มแล้วขับไว้แล้ว 435 คัน โดยรถจักรยานยนต์ มีการกระทำความผิด 32,782 ครั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องยึดรถจักรยานยนต์ และใบขับขี่ไว้ 433 คันและเตรียมส่งตัวผู้กระทำผิดไปดำเนินคดี 30,071 ราย สำหรับรถโดยสารสาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคคล พบการกระทำความผิด 27,337 ครั้ง เจ้าหน้าที่ได้ยึดใบขับขี่ไว้ 1,498 คน และยึดรถยนต์ 102 คัน และ ส่งผู้กระทำความผิดไปดำเนินคดีจำนวน 25,549 ราย
+++สำหรับวันนี้ รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬาจะแถลงสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนวันที่ 3 (13 เมษายน 2560
+++รายงานข่าวว่า เพจ “เรารักด่านตรวจ” แชร์ภาพ”ธิชาคนเดิม เพิ่มเติมเด๋วบอก”พร้อมบอกเล่าเหตุการณ์”แก๊งเด็กเมืองชล”ทำพฤติกรรมน่าระอา คืนวันที่ 12 เมษายน ตั้งกลุ่มนำน้ำเน่า น้ำปลา ไข่เน่า ปลาร้า น้ำปัสสาวะและน้ำมันเครื่องใส่ถุงมาขว้างปาใส่ผู้คนที่กำลังขับขี่รถบนถนนแถวสะพานใหม่ชลบุรีจน พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ผบช.ภ.2 ได้จับกุมตัววัยรุ่นรวมทั้งหมด 10 คนมาดำเนินคดีสอบถามวัยรุ่นกล่าวว่า ได้เตรียมน้ำใส่ถุงมาจากบ้านและนัดมาเล่นขว้างปากันที่บริเวณสะพานเลียบชายทะเล ด้วยความคึกคะนองไม่คิดว่ามีปัญหา สงกรานต์ปีหน้าจะไม่ทำอีกแล้วพล.ต.ท.จิตติกล่าวว่า ขณะนี้ยังให้ตำรวจติดตามกลุ่มวัยรุ่นที่เหลือมาดำเนินคดีอีก ส่วนผู้ที่จับกุมในครั้งนี้ตำรวจจะไม่สั่งปรับ แต่ให้ศาลเป็นผู้พิจารณาพิพากษาโทษอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นบทเรียนกับวัยรุ่นที่กระทำผิดในครั้งนี้
+++วันนี้ ตำรวจควบคุมตัว น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือ โชกุน ผู้ต้องหาฉ้อโกงประชาชน ฝากขังผลัดแรกที่ศาลอาญา ตำรวจคัดค้านการประกันตัว พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. เดินทางมาติดตามความคืบหน้าคดี และได้เปิดเผยว่า ไม่มีความกังวลเรื่องการสอบปากคำเพราะขณะนี้ได้ตัวผู้ต้องหาแล้ว ผู้ต้องหาสามารถพูดแสดงความคิดเห็นอะไรก็ได้ แต่ตำรวจก็จะต้องตรวจสอบจากข้อมูลเชิงประจักษ์ คาดว่าภายหลังสงกรานต์จะมีการสอบสวนและได้ข้อมูลที่มีความชัดเจนพนักงานสอบสวนได้มีการสืบทราบแล้วว่าเครือข่ายซินแสโชกุนนั้นมีผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ที่เป็นแม่ข่ายทั้งหมด ประมาณ 30 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมเชิญตัวทั้งหมดเข้ามาสอบปากคำ ส่วนผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อได้ทยอยเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.พสิษฐ์ มากกว่า 1,000 คนแล้ว ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และคาดว่าจะมีมากกว่านี้ เบื้องต้น ปปง.ได้ทำการอายัดเงินในบัญชีของ น.ส.พสิษฐ์ ที่มีอยู่ประมาณ 3 ล้านบาท ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ที่นำเงินไปซื้อไว้ ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะ หรือที่พักอาศัย ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ ปปง.ตรวจพบจะทำการอายัดทันที หลังจากนั้นถ้าผู้ต้องหาชี้แจงที่มาที่ไปถึงทรัพย์สินไม่ได้ จะทำการยึดและนำไปขายทอดตลาดตามขั้นตอน เพื่อนำเงินไปเยียวยาผู้เสียหายทั้งหมด
+++มีรายงานว่าจากการสอบปากคำ น.ส.พสิษฐ์ ได้ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยเผยว่ามีการนำเงินกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่ผู้เสียหายนำมาลงทุนไปแปลงเป็นทรัพย์สินอื่นๆ หลายรายการ อาทิ คอนโดมิเนียม มูลค่า 2 ล้านบาท รถเบนซ์ 2.8 ล้านบาท รถยนต์หรูหลายคัน รวมทั้งทองคำ และมีการนำเงิน 19 ล้านบาท ไปใช้จ่ายในการจัดทัวร์พาสมาชิกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงแรก น.ส.พสิษฐ์ ยอมรับว่า ไม่ได้มีการจองเครื่องบินและตั๋วโดยสารที่ใช้ในการเดินทางไปทริปญี่ปุ่นแต่อย่างใด มีรายงานอีกว่าบริษัทของ น.ส.พสิษฐ์ มีผู้หลงเชื่อสมัครสมาชิกมากกว่าพันคน ในการสมัครสมาชิกจะมีค่าใช้จ่ายในเบื้องต้น จากนั้นก็จะอยู่ตามโครงข่ายต่างๆ ซึ่งมีแม่ข่ายดูแลมากถึง 25 สาย ทั้งนี้อยู่ระหว่างการประสานให้เข้ามาให้ข้อมูล โดยแม่ข่าย 7 สาย เดินทางเข้าให้ปากคำแล้ว ชุดสืบสวนพบว่า น.ส.พสิษฐ์ ได้มีการชักชวนดารานักแสดง บุคคลที่มีชื่อเสียง โดยชุดสืบสวนสอบสวนอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะต้องเชิญบุคคลเหล่านี้มาให้ปากคำในรายละเอียดหรือไม่ด้าน ศาลแขวงพระนครเหนือ ได้ออกหมายจับน.ส.พสิษฐ์ และโชกุน คือบุคคลเดียวกัน หลอกเด็ก 9 ขวบ ไปถ่ายแบบที่ประเทศเกาหลี โดยมีค่าดำเนินการเป็นค่ามัดจำ 2.2 แสนบาท เมื่อโอนเงินไปแล้ว ซินแสโชกุนก็พาผู้เสียหายและลูกไปประเทศเกาหลี แต่กลับไม่สามารถถ่ายแบบได้ โดยอ้างว่าติดขัดเรื่องทีมงาน