+++นายฟาอุสโต ลูโก หัวหน้าป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนของกรุงเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก เปิดเผยว่า เกิดเหตุบางส่วนของอาคารก่อสร้างพังถล่มลงมาในกรุงเม็กซิโกซิตี้ มีคนงานติดอยู่ใต้ซากคานถล่ม เบื้องต้น พบผู้เสียชีวิตแล้ว 7 ศพและบาดเจ็บอีก 10 คนเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้สุนัขดมกลิ่นและอุปกรณ์ที่ยังติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง แต่การช่วยเหลือต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อเจ้าหน้าที่กู้ภัยรวมถึงคนงานผู้รอดชีวิต
++เหตุเกิดขึ้นในอาคารก่อสร้าง เชื่อว่า เป็นอาคารจอดรถสูงหลายชั้นของห้างสรรพสินค้าในย่านที่อยู่อาศัยทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงเม็กซิโกซิตี้
+++ด้านนายกุสตาโว โอมาร์ จิเมเนซ อัยการของเม็กซิโก เปิดเผยว่า มีการสอบสวนสาเหตุที่อาคารพังถล่มและต้องตรวจสอบว่าโครงการก่อสร้างได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องหรือไม่
+++สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี พล.ท.เฮอร์เบิร์ต แมคมาสเตอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาว เปิดเผยว่า ได้รับคำสั่งจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ให้เสนอทางเลือก สำหรับการหาทางปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี แม้พล.ท. แมคมาสเตอร์ ปฏิเสธลงลึกในรายละเอียด แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าทางเลือกที่จะมีการเสนอให้ผู้นำสหรัฐฯ พิจารณา น่าจะรวมถึงการใช้ปฏิบัติการหน่วยรบพิเศษ และการเปิดฉากโจมตีก่อนเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ
+++ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสหรัฐฯ เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่กองเรือพิฆาตนำโดยเรือบรรทุกเครื่องบินชั้นนิมิตซ์ ยูเอสเอส คาร์ล วินสัน เดินทางออกจากสิงคโปร์เมื่อวันอาทิตย์ ใกล้ถึงน่านน้ำของคาบสมุทรเกาหลี เรียกเสียงประณามอย่างหนักจากเกาหลีเหนือ ซึ่งประกาศด้วยว่า พร้อมสู้ยิบตากับภัยคุกคามทางทหารจากสหรัฐฯ ขณะที่มีการวิเคราะห์ด้วยว่า โครงสร้างอุโมงค์ ที่ซับซ้อน ภายใต้กรุงเปียงยาง ถือเป็นแผนยุทธศาสตร์ทางทหารของเกาหลีเหนือที่น่าจับตา
+++ด้านกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยังสงวนท่าทีต่อรายงานดังกล่าว ในเวลาเดียวกัน นางฮวาง คโย-อัน รักษาการประธานาธิบดีเกาหลีใต้ กล่าวว่าขอให้ประชาชนอย่างตื่นตระหนกกับสถานการณ์ตามแนวชายแดน
+++ขณะที่น.ส.หัว ชุนอิง โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวถึง รายงานของสื่อบางแห่งในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่ระบุว่ากองทัพจีนเสริมกำลังทหาร 1 แสน 50,000 นาย อารักขาตามแนวพรมแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือที่ติดกับเกาหลีเหนือ ว่า เป็นเพียงนิยาย
+++ปัญหาของสายการบิน หลังจากที่กระแสโลกออนไลน์ วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้โดยสารคนหนึ่งของสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ลากตัวลงมาจากเครื่องบินลำที่เกิดปัญหาการจองตั๋วที่นั่งผู้โดยสารเกินอัตรา โดยมีผู้เข้าไปคลิกดูคลิปเหตุการณ์นั้นกว่า 120 ล้านครั้งและแสดงความเห็นกว่า 80,000 ความเห็น ทั้งนี้ เป็นเที่ยวบิน ยูเอ3411 ของสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ก่อนออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโก โอแฮร์ สู่ท่าอากาศยานหลุยส์วิลล์ ในรัฐเคนทักกี เมื่อวันอาทิตย์
+++นายออสการ์ มูโนซ ประธานบริษัทสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ กล่าวว่า บริษัทปฏิบัติตามระเบียบและกล่าวว่า ชายผู้โดยสารแสดงท่าทีก่อกวนและก้าวร้าวหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ในหนังสือที่แจ้งไปยังพนักงานของบริษัท ระบุว่า เขารู้สึกผิดหวังที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น แม้จะเสียใจต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ขอยืนเคียงข้างพนักงานของเขาทุกคน และขอแนะนำให้ทุกคนเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราทำถูกต้องแล้ว
+++หลังจากที่เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป หุ้นของสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ คือยูไนเต็ด คอนติเนตัล โฮลดิ้งส์ ได้ปรับลดลงเกือบร้อยละ 4
+++กระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์เหตุการณ์ที่ผู้โดยสารคนดังกล่าว ปฏิเสธลงจากเครื่องบิน เพื่อสละที่นั่งให้กลุ่มลูกเรือของยูไนเต็ด แอร์ไลน์ 4 คน ซึ่งต้องเดินทางไปยังเมืองหลุยส์วิลล์ ในเวลาเดียวกัน เพื่อให้บริการบนอีกเที่ยวบินหนึ่ง ทั้งนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ ระบุว่า แม้กฎหมายอนุญาตให้สายการบินสามารถสุ่มเลือกผู้โดยสารออกจากเที่ยวบินได้ ในกรณีมีการขายบัตรโดยสารเกินจำนวน และมีผู้โดยสาร สมัครใจ สละที่นั่งไม่ครบตามโควต้า แต่การชี้แจงให้ผู้โดยสารรับทราบล่วงหน้าถือเป็นความรับผิดชอบ ของสายการบิน
+++ท่าทีดังกล่าวของรัฐบาลวอชิงตัน มีขึ้นหลังปรากฏคลิปและภาพนิ่งไปทั่วเครือข่ายสังคมออนไลน์ เป็นการเผชิญหน้าระหว่างผู้โดยสารชายชาวเอเชียกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 3 คน ขณะที่มีรายงานว่าผู้โดยสารชายคนนี้เป็นแพทย์ และมีความจำเป็นต้องพบกับคนไข้ที่นัดไว้ในวันจันทร์ที่ 11 เม.ย. ซึ่งการที่ใบหน้าของผู้โดยสารเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เรียกเสียงประณามอย่างหนักบนอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับการจัดการสถานการณ์ของสายการบิน ต่อมามีรายงานเพิ่มเติมว่า สนามบินชิคาโกสั่งพักงานเจ้าหน้าที่ 1 ใน 3 คนซึ่งเผชิญหน้ากับผู้โดยสารแล้ว
+++บีบีซี รายงานว่านายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯเดินทางถึงกรุงมอสโกว์ รัสเซียแล้ว เสร็จการประชุมกลุ่ม 7 ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ(จี-7) นายทิลเลอร์สัน บอกกับผู้สื่อข่าวว่าประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัสซาดของซีเรีย ไม่ควรมีส่วนร่วมกำหนดอนาคตการเมืองของซีเรียต่อไป เขาจะพบปะกับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียในวันนี้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเขาจะพบปะกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียหรือไม่
+++ก่อนหน้านี้ ผู้นำรัสเซีย เรียกร้องให้สหประชาชาติ จัดตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางชุดหนึ่งเพื่อสอบสวนเหตุโจมตีด้วยอาวุธเคมีในเมืองข่านเชคุนของซีเรีย ซึ่งมีคนเสียชีวิต 89 ศพ เคยได้ยินเรื่องการเสนอรายงานเท็จว่าการมีใช้อาวุธเคมีในซีเรีย เพื่อโยนความผิดให้กับรัฐบาลซีเรีย รัฐบาลซีเรียปฏิเสธมาตลอดว่าไม่เคยโจมตีด้วยอาวุธเคมี แต่สหรัฐฯตัดสินใจยิงจรวดโทมาฮอร์ค 59 ลูกเพื่อโจมตีซีเรียเพื่อตอบโต้เรื่องการใช้อาวุธเคมี
+++คณะรัฐมนตรีต่างประเทศจากกลุ่มจี 7 ซึ่งประชุมกันในเมืองลุกกา อิตาลี ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในเรื่องข้อเสนอการคว่ำบาตรรัสเซียและซีเรียเพิ่มเติม ส่งผลให้ร่างข้อเสนอนั้นซึ่งเสนอโดยนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษเป็นอันตกไป แต่พวกเขาเห็นตรงกันว่าการแก้ไขปัญหาวิกฤติของซีเรียจะไม่มีทางประสบผลสำเร็จตราบเท่าที่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัดซาดของซีเรียยังคงอยู่ในอำนาจ
+++ความคืบหน้าเหตุคนร้ายบุกยิงภายในโรงเรียนประถมศึกษานอร์ธ ปาร์ค ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน รวมถึงนายซีดริก แอนเดอร์สัน อายุ 53 ปี นางคาเร็น แอนเดอร์สัน อายุ 53 ปี คู่สามีภรรยา และเด็กชายโจนาธาน มาร์ติเนซ วัย 8 ปี ซึ่งเป็นนักเรียน โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บหนึ่งคนเป็นเด็กชายอายุ 9 ขวบที่ล่าสุดอาการทรงตัว และอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ ตำรวจระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความพยายามฆ่าตัวตาย ที่เป็นผลจากปัญหาส่วนตัวของมือปืนคือนายซีดริก ซึ่งยิงตัวเองหลังจากสังหารนางคาเร็น และผลการตรวจสอบประวัติพบว่าทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อไม่นานมานี้ แต่หย่าร้างกันได้ประมาณ 1 เดือนครึ่งก่อนเกิดเหตุ
+++ขณะที่นักเรียนเคราะห์ร้ายทั้งสองคน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้ตาย และถูกยิงเนื่องจากยืนอยู่ด้านหลังนางคาเร็น ในนาทีที่เกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้อพยพนักเรียนประมาณ 600 คนไปที่โรงเรียนอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกันเพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม แม้เหตุรุนแรงครั้งนี้ ไม่ใช่การก่อการร้าย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ทำให้ชาวเมืองซานเบอร์นาดิโน หวนคิดถึงเหตุกราดยิงรุนแรงครั้งล่าสุด เมื่อเดือน ธ.ค.2558 โดยฝีมือของคนร้ายชายและหญิง ที่บุกก่อเหตุภายในศูนย์ดูแลผู้พิการ จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 14 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 21 คน ก่อนที่ตำรวจจะวิสามัญมือปืนทั้งสองคนในที่เกิดเหตุ
CR:www.belfasttelegraph