นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีการต่างประเทศรัสเซีย โทรศัพท์หารือกับนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีการต่างประเทศสหรัฐ เกี่ยวกับสถานการณ์ในซีเรีย สืบเนื่องจากการที่สหรัฐโจมตีฐานทัพซีเรีย ซึ่งรัสเซียเห็นว่าเป็นการโจมตีที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มหัวรุนแรง และไม่มีหลักฐานใดที่สนับสนุนข้อกล่าวหาที่ว่ากองทัพซีเรียใช้อาวุธเคมีที่จังหวัดอิดลิบ ซึ่งเป็นพื้นที่ยึดครองของกลุ่มกบฏ โดยรัฐมนตรีการต่างประเทศสหรัฐฯ จะเดินทางไปยังกรุงมอสโกว์สัปดาห์นี้
ขณะที่กองทัพสหรัฐฯ ในยุโรปและแอฟริกา มั่นใจว่าซีเรียจะไม่สามารถใช้ฐานทัพแห่งนี้ได้อีก ทั้งประกาศด้วยว่าพร้อมที่จะโจมตีซ้ำหากมีความจำเป็น
ด้านนางนิกกี เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติเปิดเผยว่า การโค่นอำนาจประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรียเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญอันดับแรกของคณะบริหารประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เช่นเดียวกับการปราบปรามกลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส และการขจัดอิทธิพลของอิหร่านในซีเรีย
ขณะที่กองทัพรัสเซีย และกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน ประกาศเดินหน้าปฏิบัติการโจมตีกลุ่มก่อการร้ายในซีเรีย ซึ่งรวมถึงฝ่ายต่อต้านประธานาธิบดีซีเรีย
ส่วนกลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในซีเรีย เปิดเผยว่ามีการโจมตีเมืองข่านชีกฮุน จังหวัดอิดลิบอีกครั้งเมื่อวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น และมีการโจมตีเมืองอูรุม อัล-โจซ ที่อยู่ห่างจากเมืองข่านชีกฮุนราว 55 กิโลเมตร ซึ่งสันนิษฐานว่าจะเป็นปฏิบัติการของกองทัพอากาศรัสเซีย
กองเรือรบคาร์ลวินสันของสหรัฐฯ ซึ่งมีเรือบรรทุกเครื่องบินร่วมอยู่ด้วย กำลังมุ่งหน้าไปทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยออกจากสิงคโปร์ และมีจุดหมายปลายทางที่คาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมหลังจากที่เกาหลีเหนือออกแถลงการณ์ประณามสหรัฐกรณีโจมตีซีเรีย ซึ่งผู้นำเกาหลีเหนือเห็นว่า ปฏิบัติการของสหรัฐทำให้เกาหลีเหนือต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์
ที่อินโดนีเซีย ตำรวจวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องสงสัย 6 คนเป็นสมาชิกกลุ่มไอเอส และจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้อีก 1 คน ที่ร่วมกันก่อเหตุขับรถพุ่งชนป้อมตำรวจจราจรเมืองตูบัน ในจังหวัดชวาตะวันออก และใช้อาวุธปืนกราดยิงเจ้าหน้าที่
ที่ฝรั่งเศส นายกรัฐมนตรีแบร์นาร์ กาซเนิฟว์ ชื่นชมเจ้าหน้าที่ซึ่งมีปฏิบัติการตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัยหลายแห่งสามารถยึดอาวุธและวัตถุระเบิดรวมหนักราว 3.5 ตัน ตามที่กลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนบาสก์และอิสรภาพ หรืออีทีเอ ทางภาคเหนือของสเปน ประกาศยุติการก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน พร้อมปลดอาวุธและเปิดเผยสถานที่ซุกซ่อนอาวุธ นอกจากนี้ฝรั่งเศสจะมีความร่วมมือกับสเปนเพื่อตรวจสอบอาวุธต่อไป
ส่วนที่นอร์เวย์ เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดทำลายวัตถุคล้ายระเบิดที่พบในเขตกรอนแลนด์ ของกรุงออสโล และจับกุมผู้ต้องสงสัยไว้ได้ 1 คน โดยนอร์เวย์มีการเฝ้าระวังสถานการณ์ก่อการร้ายมาตั้งแต่เกิดเหตุคนร้ายขับรถบรรทุกพุ่งชนผู้คนที่กรุงสตอกโฮล์ม ของสวีเดน เมื่อสัปดาห์ก่อน
คณะกรรมาธิการยุโรป แถลงแนวทางปรับปรุงระเบียบด้านสารกำจัดศัตรูพืช โดยเตรียมร่างกฎระเบียบห้ามการใช้สาร โคลไทอะนิดิน (clothianidin) และไธอะมีโทแซม (Thiamethoxam) ซึ่งทั้งหมดเป็นสารกำจัดศัตรูพืชกลุ่ม กลุ่มนีโอนิโคตินอยด์ (neonicotinoids) ที่เป็นอันตรายต่อแมลงผสมเกสรโดยเฉพาะผึ้ง และจะจัดการลงมติ ภายในเดือนพฤษภาคมนี้
ทั้งนี้ จากการศึกษาจำนวนประชากรผึ้งที่ลดจำนวนลงกับการใช้สารกลุ่มนี้ในการคลุกเมล็ดก่อนปลูก หรือการใช้ในช่วงการเจริญเติบโตของพืชซึ่งมีการสะสมในต้นพืชนั้น เมื่อผึ้งได้รับสารเหล่านี้จะเกิดภาวะอ่อนแรง ไม่สามารถบินกลับรังเพื่อนำอาหารไปให้นางพญาผึ้งและตัวอ่อนได้ และตายในที่สุด ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ผึ้งตายยกรัง จึงสนับสนุนให้ยกเลิกการใช้สารกลุ่มนี้
ปิดท้ายที่รายงานของธนาคารพัฒนาเอเชียหรือ เอดีบี นายยาสุยูกิ ซาวาดะ หัวหน้านักวิเคราะห์เศรษฐกิจเอดีบี เปิดเผยว่า ในปีนี้ภูมิภาคเอเชีย จะครองสัดส่วนเศรษฐกิจของโลกไว้มากถึง 2 ใน 3 หรือราวร้อยละ 60 ของมูลค่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม อีกทั้งยังคาดว่าการเติบโตของจีดีพีในเอเชียแปซิฟิกจะมากถึงร้อยละ 5.8 หรือมากกว่าเกือบ 3 เท่าเมื่อเทียบกับประเทศสหรัฐ และทวีปยุโรปที่เติบโตเฉลี่ยราวร้อยละ 2 โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน เศรษฐกิจในปีนี้ ยังมีปัจจัยหนุนที่แข็งแกร่งจึงคาดว่าตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจภายในภูมิภาค หรือจีดีพี จะสามารถขยายตัวได้ราวร้อยละ 4.8 และจะสูงกว่าร้อยละ 5 ในปีหน้า เนื่องจากการฟื้นตัวของราคาอาหารและน้ำมัน และมีความชัดเจนด้านทิศทางการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น
ส่วนเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 โดยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย จะเป็นปัจจัยหลักหนุนการขยายตัว ขณะที่การท่องเที่ยวและการบริโภคมีแนวโน้มปรับตัวแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ไทยได้เริ่มแผนไทยแลนด์ 4.0 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การปฏิรูปภาคเกษตรกรรม ปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม และยกระดับภาคบริการ แต่เอดีบีเตือนว่าไทยยังมีความท้าทายเรื่องการพัฒนาภาคบริการ เนื่องจากยังขาดแคลนแรงงานมีทักษะ พร้อมแนะนำให้ภาครัฐพัฒนาด้านการศึกษาและการฝึกอาชีพให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และตรงความต้องการของตลาดมากขึ้นด้วย
....