ข่าวเที่ยงครึ่ง
+++สงกรานต์เชียงใหม่ นายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมในการปรับสภาพน้ำในคูเมือง หลังจากชลประทานผันน้ำเข้าสู่คูเมือง 50,000 ลูกบาศก์เมตร เพื่อปรับสภาพคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำคูเมืองก่อนเทศกาลสงกรานต์ ณ บริเวณแจ่งกะต๊ำ อำเภอเมือง เชียงใหม่ เนื่องจากบริเวณคูเมืองทั้ง 4 แห่ง เป็นที่นิยมของประชาชนและนักท่องเที่ยวในการเล่นสาดน้ำกัน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้มีน้ำเล่นอย่างเพียงพอ ซึ่งน้ำในคูเมืองมีสะอาดปลอดภัยในการเล่นสาดน้ำ เพราะที่ผ่านมาเทศบาลได้มีการขุดลอกตะกอน โรยปูนขาว เติมคลอลีน เปิดน้ำพุให้น้ำหมุนเวียนตลอดเวลา ทั้งนี้ได้จัดชุดกู้ภัยกู้ชีพประจำจุด มีป้ายเตือน วางทุ่นเขตน้ำลึก ติดอุปกรณ์ช่วยชีวิตรอบคูเมือง ปีนี้เทศบาลได้เปลี่ยนสถานที่การจัดกิจกรรมงานประเพณีสงกรานต์เชียงใหม่ ประจำปี 2560 จากประตูท่าแพ มาเป็นลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ด้วย
+++พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อยากให้สังคมเข้าใจถึงเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลว่าทำไปเพื่อลดอุบัติเหตุ ป้องกันการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนด้วยความจริงใจไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่าเมื่อประชาชนเดือดร้อนและยังปรับตัวไม่ทัน รัฐบาลก็ยินดีฟังทุกความคิดเห็นด้วยความห่วงใย โดยความจริงแล้วข้อบังคับตามมาตรา 44 ที่ออกมานั้นมีกฎหมายปกติกำหนดไว้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บล้มตายส่วนใหญ่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย เช่น ขับรถเร็ว,เมาสุรา,บรรทุกเกิน,ฝ่าฝืนกฎจราจร ฯลฯ จึงอยากให้คนไทยมองถึงจุดนี้และช่วยกันคิดว่าจะลดความสูญเสียได้อย่างไร เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ในช่วงนี้จะยังไม่มีการจับปรับรถกระบะทั้งที่มีผู้โดยสารนั่งท้ายกระบะหรือในแค็บของรถ ส่วนการคาดเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์นั่งส่วนบุคคลนั้น เจ้าหน้าที่จะยังคงบังคับใช้กฎหมายด้วยการจับปรับผู้โดยสารเบาะคู่หน้าต่อไป ขณะที่ผู้โดยสารด้านหลังหากพบว่าไม่คาดเข็มขัดนิรภัย เจ้าหน้าที่จะตักเตือนก่อน แต่สำหรับรถโดยสารสาธารณะ เช่น รถแท็กซี่ รถตู้ และรถโดยสารประจำทาง จะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง หากฝ่าฝืนจะถูกจับปรับเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้โดยสารที่ต้องฝากชีวิตไว้กับผู้ขับขี่รถสาธารณะ
++++รายงานข่าวจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2560 นายสุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ทำหนังสือถึงประธานกสม.เพื่อขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยระบุเหตุผลของการลาออกว่า 1.บรรยากาศไม่เอื้อให้เกิดการทำงานที่สร้างสรรค์ อาจทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับตนเองมีอายุเกิน 60 ปีและมีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูง การเกิดความเครียดบ่อยๆส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้นจนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ 2.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จะมีผลบังคับใช้ทำให้สามารถสรรหากรรมการท่านอื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทนได้ สำหรับเหตุผลที่นายสุรเชษฐ์ระบุว่าบรรยากาศไม่เอื้อให้เกิดการทำงานที่สร้างสรรค์นั้น เนื่องจากได้เกิดความแตกแยกในกสม.อย่างรุนแรง โดยแบ่งเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน จนทำให้เกิดปัญหาในการทำงาน โดยเฉพาะในการประชุมกสม.ที่มีการจ้องจับผิดกัน จนทำให้นายสุรเชษฐ์เกิดความอึดอัด
+++นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า มอบหมายให้ นพ.โสภณ เมฆธน ปลัด สธ.ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะเรื่องนี้เมื่อ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.ตรวจสอบและแจ้งมา โดยพบปัญหาการเบิกจ่ายงบของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ที่ให้แก่โรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.) โดยพบปัญหาการเบิกจ่ายเงินในโรงพยาบาล 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ และโรงพยาบาลชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ โดยโรงพยาบาลสตึก พบปลอมแปลงเอกสารลายมือชื่อ และเอกสารในการเบิกจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บัตรทอง) จำนวน 3,140,740 บาท ซึ่งเป็นการใช้เอกสารปลอม และไม่ได้ดำเนินงานจริง และโรงพยาบาลชัยภูมิ พบปัญหาเอกสารหลักฐานการจ่ายเงินกองทุนบัตรทองสูญหาย ในปี 2557 วงเงิน 432,035,937 บาท
+++นพ.โสภณ กล่าวว่า โรงพยาบาลสตึกถูกข้อกล่าวหาว่า มีการทำโครงการหนึ่งๆ แต่มีประเด็นเรื่องทุจริตเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะนี้ตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงอยู่ โดยมี นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองปลัด สธ. เป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ โดยเบื้องต้นพบว่ามีการทำโครงการประมาณกว่า 2 ล้านบาท แต่กลับไม่ดำเนินการจริง ก็ต้องไปดูหลักฐาน ดูตามข้อมูล ส่วนที่รพ.ชัยภูมินั้น พบว่าเอกสารหาย โดยให้เหตุผลว่าปลวกขึ้นในห้องเก็บเอกสาร ใบเสร็จรับเงินหายไป ซึ่งเรื่องนี้สธ.ไม่นิ่งนอนใจ ได้กำชับให้ตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
+++นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า สำนักงาน กสทช. รายงานสภาพตลาดกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล ระหว่างเดือน ม.ค.-ก.พ. 2560 พบว่า โดยในเดือน ก.พ. 2560 การรับชมผ่านทางโทรทัศน์ภาคพื้นดินเพิ่มสูงขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 86 เมื่อเทียบกับการรับชมผ่านดาวเทียมและเคเบิลที่ลดลงเหลือประมาณร้อยละ 14 ด้านมูลค่าการโฆษณาในกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินพบว่า ในเดือน ก.พ. 2560 มียอดรวมประมาณ 5,230 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นจากเดือน ม.ค. ประมาณ 202 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 4 ซึ่งแนวโน้มการเพิ่มสูงขึ้นของมูลค่าโฆษณาในเดือน ก.พ. ช่องรายการที่มีผู้ชมสูงสุด 10 อันดับแรก ยังคงเป็นกลุ่มเดิมเหมือนในช่วงเดือน ม.ค. 2560 นั่นคือ อันดับ 1 ช่อง 7 เรตติ้ง 2.204 อันดับ 2 ช่อง 3 เรตติ้ง 1.388 อันดับ 3 ช่องเวิร์คพอยท์ ทีวี เรตติ้ง 1.094 ผลการจัดลำดับความนิยมในรายการประเภทต่างๆ ประจำเดือน ก.พ. 2560 พบว่า รายการละครที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ เรื่องเกิดเป็นกา ออกอากาศทางช่อง 7 เรตติ้ง 7.729 รายการประกวดแข่งขันความสามารถที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ รายการหน้ากากนักร้อง หรือ The Mask Singer ออกอากาศทางช่อง เวิร์คพอยท์ ทีวี เรตติ้ง 8.082
+++นางอองซาน ซูจี ผู้นำเมียนมา แสดงความเห็นว่า ข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลเมียนมากวาดล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงเกินไป แม้ว่าเธอจะยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงใช้ความรุนแรงในการปราบปรามคนร้ายที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มชาวโรงฮิงญา แต่ความรุนแรงนั้นไม่ได้เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะยังมีความรุนแรงที่เกิดจากชาวมุสลิมด้วยกันเองอีกด้วย นางซูจีกล่าวว่า ภายในกลุ่มชาวโรฮิงญาซึ่งเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามมีการแบ่งแยกกลุ่มออกเป็นหลายฝ่ายที่มีความขัดแย้งกันเอง และรัฐบาลพยายามที่จะสร้างความเข้าใจระหว่างกลุ่มเหล่านี้ที่ผ่านมานางซูจีมักหลีกเลี่ยงการแสดงความเห็นเกี่ยวกับชาวโรฮิงญา ซึ่งทำให้เธอถูกวิจารณ์ในฐานะที่เป็นเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพและสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งเธอชี้แจงว่าเป็นเพราะเมื่อหลายปีก่อนเคยตอบคำถามในประเด็นโรฮิงญาแล้วถูกผู้สื่อข่าวกดดันให้เธอกล่าวโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แฟ้มภาพ