ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 07.30 น.
++ความเข้มงวด ทั้งคาดเข็มขัดนิรภัย ทั้งในส่วนผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกที่นั่ง ตามคำสั่งม.44 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 ในวันที่ 5 เม.ย.เป็นวันแรก รวมทั้งห้ามนั่งในกระบะหลัง และในแค็บของรถกระบะที่จุดตรวจวินัยจราจร อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดทั้งหมด 50 ราย แบ่งความผิดออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. ผู้ที่กระทำผิดกฎหมายวินัยจราจร 20 ราย 2.ผู้ที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย 30 รายนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยถึงแนวทางแก้ไขปัญหากรณีที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 กำหนดห้ามผู้โดยสารนั่งกระนั่งหลัง และแค็บของกระบะ 2 ประตูว่า อยากแนะนำให้ประชาชนเดินทางด้วยการใช้รถโดยสารสาธารณะแทน เช่น รถตู้โดยสารสาธารณะ หรือรถเช่าเหมาคัน รถแทน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในการเดินทาง
+++ที่จ.ชุมพร พ.ต.อ.วิมล พิทักษ์บูรพา รอง ผบก.ภ.จว.ชุมพร กล่าวถึงกรณีที่พ.ต.ท.เอกราช หุ่นงาม สว.อก.สภ.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับการห้ามนั่งกระบะและแค็บรถปิกอัพ ว่าควรรับฟังเหตุผลจากผู้ที่เดือดร้อน โดยเฉพาะคนจน และให้มองถึงมุมมองความประหยัดและการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่า และน่าห้ามเรื่องความเร็วมากกว่าว่า ไม่เหมาะสม ตำรวจต้องมีหน้าที่รักษากฎหมายตามนโยบายรัฐบาล ไม่ใช่ต่อต้านกฎหมาย พล.ต.ต.สนธิชัย อาวัฒนกุลเทพ ผบก.ภ.จว.ชุมพร สั่งให้พ.ต.ท.เอกราช ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง และตั้งกรรมการเพื่อสอบสวนทางวินัย แม้ระบุเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะประชาชนคนหนึ่ง แต่มาโพสต์ใน เฟซบุ๊กที่เป็นสาธารณะทั้งที่ตนเองยังเป็นตำรวจอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง
+++พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า เหตุผลที่ต้องออกกฎหมายดังกล่าว ทุกคนคงสามารถจำได้ถึงเหตุการณ์รถกระบะ และรถตู้ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 23 ราย เกิดจากการไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และนั่งกระบะตอนท้าย หลังจากเริ่ม ดีเดย์ใช้กฎหมาย มีการสื่อสารผ่านโซเชี่ยลมีเดีย ทางรัฐบาลมอบหมายให้ตนทำความเข้าใจ โดยปีนี้ นายกฯ เป็นห่วงในเรื่องวินัยจราจรอย่างยิ่ง เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยและสูญเสียน้อยที่สุด ดังนั้นการเดินทางขนส่งสาธารณะ เรื่องรถตู้ ต้องคาดเข็มขัดทุกที่นั่งเหมือนที่มีคำสั่งไป ส่วนที่สอง คือ การใช้รถกระบะ ทั้งสแปซแค็บ และกระบะที่ไม่มีหลังคา ช่วงนี้จะผ่อนผัน อนุโลมให้ก่อน และจะพิจารณาอีกครั้งหลังสงกรานต์
+++หลังมีคำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ออกคำสั่ง คสช. ที่ 20/2560 สั่งย้าย 6 ผู้ว่าราชการจังหวัด นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “การโยกย้ายครั้งนี้กระทรวงมหาดไทยรายงานเพียงว่า มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาเท่านั้น ฝ่ายกฎหมายจึงพิจารณาจัดทำคำสั่งมา ผมไม่รู้สาเหตุ แต่อาจมีการสอบสวนทางลับก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าการตรวจสอบเสร็จสิ้น ก็มีโอกาสกลับไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเช่นเดิมแต่มีรายงานข่าวจากกระทรวงมหาดไทย แจ้งว่า การดำเนินการตามมาตรา 44 รอบนี้ เป็นการย้ายโอนไปสังกัดสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ถือเป็นการย้ายขาดจากสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีสาเหตุจากทั้ง 6 คน ถูกโยงเข้ากับข้อกล่าวหาคดีทุจริตที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จึงต้องย้ายออกจากตำแหน่งเอาไว้ก่อน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการสอบสวน ส่วนความหวังว่าจะได้กลับมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอีกหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้พิจารณาตัดสินใจโดยตรง นอกจากนี้ถ้าพิจารณาคำสั่งดู จะพบว่า ยังมีอีก 2 จังหวัด ที่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้ไปดำเนินตำแหน่งแทน คือ กาญจนบุรี กับ สิงห์บุรี ซึ่งคงต้องรอการพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากยังประสบปัญหาขาดบุคลากรเข้าไปทำหน้าที่ในตำแหน่งระนาบเดียวกัน แต่ทั้งนี้ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการวางคนใหม่ เพื่อไปคุมการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นก่อนการเลือกตั้งใหญ่ ที่เป็นข่าวมาก่อนหน้านี้แน่นอน
+++ศาลได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหา 9 ราย กรณีที่ พลทหารยุทธกินันท์ บุญเนียม อายุ 22 ปี หรือพลทหารเบนซ์ ทหารกองประจำการ ค่ายวิภาวดีรังสิต จ.สุราษฎร์ธานี ถูกทำร้ายร่างกายขณะถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำ มณฑลทหารบกที่ 45 และเสียชีวิตขณะเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ในข้อหา ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นนายทหารประจำการชั้นประทวน 4 นาย ทหารกองประจำการ 5 นาย ประกอบด้วย จ่าสิบเอกยรรยง สำลีเมือง, จ่าเอกสนอง คำสีทา, จ่าเอกเฉลิมพงษ์ นิลสุวรรณ, จ่าเอกปรเมศร์ เต็มยอด, พลทหารศักราวุฒิ พลรัตน์, พลทหารจักรพันธ์ เขียวสวัสดิ์, พลทหารภาคภูมิ สืบมาศ, พลทหารสิทธิชัย พบยอด ทั้งหมดเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำทหาร มทบ.45 และพลทหารภูวเดช ธรายุทธภูมิ ผู้ช่วยสิบเวร และให้ยกคำร้องสิบเอกสุรเชษฐ์ พรหมมาศ สิบเวร โดยศาลพิเคราะห์ว่ามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีพฤติกรรมสร้างความยุ่งเหยิงให้กับพยานหลักฐาน
+++พล.ต.วิชัย ทัศนมณเฑียร ผบ.มทบ.45 กล่าวว่า ผู้ต้องหา 9 ราย ที่ศาลอนุมัติออกหมายจับ มี 8 ราย ยังต้องโทษกักขังอยู่ในเรือนจำ มทบ.45 ส่วนอีก 1 ราย เป็นทหารกองประจำการทำหน้าที่ผู้ช่วยสิบเวร ซึ่งขั้นตอนต่อไปคณะพนักงาน จะเข้าดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหา และสอบสวนปากคำต่อไป ส่วน ส.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งขณะนี้ ตนได้ออกคำสั่งให้มาช่วยราชการที่ บก.มทบ.45 หากพนักงานสอบสวนส่งหมายเรียกมา ก็จะเร่งส่งตัวให้ทันที สำหรับผู้ต้องหาที่เป็นนายทหารกองประจำการ 5 นาย ได้มีคำสั่งให้พักราชการแล้ว จนกว่ากระบวนการทางกฎหมายจะเสร็จสิ้น โดยเบื้องต้นจากการสอบสวนของคณะกรรมการที่ มทบ.45 แต่งตั้งขึ้นพบว่าผู้ที่ก่อเหตุมี 5 คน ส่วนที่เหลือมีส่วนรู้เห็น ไม่มีการห้ามปราม จากนั้น นางเรณู มารดาพลทหารเบนซ์ ได้เข้าพบ พล.ต.วิชัย เพื่อขอพบผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ มทบ.45 โดยผู้ต้องหา 8 คน ได้เข้ามาพบนางเรณู ก่อนที่จะนั่งคุกเข่าพนมมือแล้วก้มกราบเท้าเพื่อขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไป ทำให้นางเรณู ถึงกับสะอื้น พร้อมกับพูดว่า “แม่ขออโหสิกรรมให้” พร้อมทั้งเตรียมเผาร่างลูกชายในวันที่ 10 เม.ย.ที่วัดกัลปนาราม ต.เวียงสระ อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี
“บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ปิดปากเงียบเมื่อถูกนักข่าวของสำนักข่าวเอพี ถามขณะยืนอยู่นอกที่พักอาศัยแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน โดยทางทายาทกระทิงแดงไม่ตอบว่าทำไมถึงมาอังกฤษ รวมถึงไม่ตอบว่าจะไปพบอัยการที่เมืองไทยในวันที่ 27 เมษายนนี้ หรือไม่ ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวเอพีได้เคยนำเสนอข่าวไปแล้วว่า ทายาทกระทิงแดงผู้นี้ยังคงใช้ชีวิตหรูหรานอกประเทศไทยอยู่นานหลายปี โดยไม่มีทีท่าจะหลบซ่อน หรือรู้สึกผิดแม้แต่น้อย หลังก่อเหตุขับรถชนตำรวจเสียชีวิตความคืบหน้าในประเทศไทยเกี่ยวกับการดำเนินคดีทายาทกระทิงแดงรายนี้ ล่าสุด คือ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม “ประยุทธ เพชรคุณ” รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงว่า ได้มีการนัดให้ วรยุทธ มาพบในวันนี้ (30 มี.ค.) แต่ผู้ต้องหาก็ยังมีหนังสือขอเลื่อน เนื่องจากติดภารกิจที่ประเทศอังกฤษ จึงเลื่อนนัดไปวันที่ 27 เม.ย. นี้ หากยังขอเลื่อนนัดด้วยเหตุเลื่อนลอยอาจเป็นเหตุให้อัยการพิจารณาออกหมายจับเพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดี