หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการจัดซื้อรถถังว่า จำเป็นต้องมีเพราะเป็นแผนพัฒนากองทัพในห้วง 15 ปี ซึ่งรถถังสามารถใช้งานได้ 30 ปี และขณะนี้มีรถถังบางส่วนได้ปลดประจำการไปแล้ว จึงต้องจัดซื้อเพื่อทดแทน โดยหลักการจัดซื้อได้นำหลักการจากสหรัฐอเมริกา มาจัดส่วนการใช้ยุทโธปกรณ์และทหาร ส่วนจะซื้อจากใครจะต้องซื้อพิจารณาเรื่องจำนวนเงินและความคุ้มค่า และการจัดซื้อก็มีคณะกรรมการดำเนินงานเรื่องดังกล่าวอยู่แล้วซึ่งหากเกิดความผิดพลาดก็จะต้องรับผิดชอบ ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรียังปฏิเสธกระแสวิจารณ์การซื้อเรือดำน้ำทั้งสามลำจากจีนในเรื่องความไม่เหมาะสมกับคุณภาพและราคา โดยย้ำว่าเรื่อดำน้ำจำเป็นต้องมี ซึ่งการที่อดีตนายทหารออกมาวิจารณ์เรื่องดังกล่าว มองว่าไม่เหมาะสม ไม่เป็นความจริง และเป็นการทำลายระบบกองทัพ
ส่วนกรณีประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ กล่าวหาไทยเป็น 1 ใน 16 ประเทศ ที่ทำให้สหรัฐขาดดุลการค้า จึงเตรียมออกมาตรการตอบโต้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอให้ใจเย็น เพราะยังไม่มีคำสั่งอย่างเป็นทางการ แต่เบื้องต้นได้สั่งการให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงเตรียมพร้อมรับมือเรื่องดังกล่าวแล้วและขออย่าไปถามทีละกระทรวงเพราะจะทำให้เกิดความสับสน จึงขออย่ากังวลอีกทั้งไทยและสหรัฐอเมริกาก็มีความสัมพันธ์กันมายาวนานกว่าร้อยปี
ส่วนกรณีรถแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยมีแท็กซี่เป็นแสนคัน จึงต้องมีการพัฒนาทั้งระบบและคน ซึ่งขณะนี้บางส่วนได้ดำเนินการให้เกิดความทันสมัยเช่นเดียวกันกับแท็กซี่อูเบอร์ ส่วนที่ยังไม่ปรับปรุงรัฐบาลก็จะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ส่วนกรณีอูเบอร์แท็กซี่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การนำรถมาวิ่งรับผู้โดยสารจะต้องระบุว่าเป็นรถรับจ้าง แต่แท็กซี่ยังไม่ยอมจดทะเบียน เนื่องจากอ้างว่าไม่มีกฎหมายรองรับ จึงได้สั่งการให้ไปศึกษาเรื่อกฎหมาย เพื่อรองรับหาก เกิดปัญหาขึ้นในวันข้างหน้า ส่วนเรื่องการปฏิเสธรับผู้โดยสารของรถแท็กซี่เชื่อว่าเป็นที่จิตสำนึกของคน ซึ่งเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลแต่ขอร้องอย่าปฏิเสธผู้โดยสาร พร้อมถามกลับว่าหรือตนเองจะต้องให้ออกคำสั่งม.44 มาบังคับใช้ในเรื่องดังกล่าวหรือไม่
ส่วนเหตุวิสามัญที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ถูกตั้งคำถามว่าไม่มีการยิงปะทะ และอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการตอบโต้จากกลุ่มติดอาวุธจนก่อความสูญเสียให้กับเจ้าหน้าที่ตามมา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเรื่องดังกล่าวมีกลไกตรวจสอบอยู่แล้ว จึงขออย่าขยายความเพราะจะไปกับกระทบกับการดำเนินงานเรื่องอื่นด้วย ซึ่งรัฐบาลก็พยามอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ส่วนการที่กรมประมงเตรียมออกกฎหมาย คุมประมงพื้นบ้าน แต่ผ่านมา 1 ปีแล้ว แต่ยังคงมีบางส่วนมองว่ามีความคืบหน้าน้อยมาก นายกรัฐมนตรี ไม่เป็นความจริงเพราะทุกอย่างมีความคืบหน้าตามกระบวนการส่วนการกรณีอธิบดีกรมประมง ให้สัมภาษณ์ว่า ประมงพื้นบ้าน จับสัตว์น้ำมาจำหน่ายถือว่าไม่ถูกต้อง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากพูดจริง ตนเองต้องเอาเรื่องเพราะทุกวันนี้รัฐบาลคำถึงประมงพื้นบ้านเป็นหลัก และการแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมายไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับประมงพื้นบ้าน แต่ประมงพื้นบ้านต้องอยู่ในระเบียบและกฎกติกาที่กำหนด เพื่อให้เกิดการรักษาอาณาเขตประมงพื้นบ้านและทรัพยากรทางทะเล