เหยื่อระบบ!บอย ถกลเกียรติ รับใช้เท้ากระแทกแท็กซี่ พร้อมเสนอเงินชดใช้เองไม่เอาเรื่องแท็กซี่

หลังมีการเผยแพร่ คลิป "บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ" ถูกคนขับรถแท็กซี่ขู่ยิง พร้อมสั่งให้ยกมือไหว้และเรียกร้องเอาเงิน 1 พันบาทเนื่องจากไม่พอใจที่ถูกอีกฝ่ายทุบรถ ด้านบอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ ‘ช่องวัน’ และค่าย "เอ็กแซกท์-ซีเนริโอ"ออกมาชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ทราบรายละเอียดว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 1 เม.ย. 2560 ว่า  ตนเองและลูกสาวคนโตหลังดูหนังเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน ตนเองจะเรียกใช้บริการ ‘อูเบอร์’ แต่ลูกสาวพูดว่า’มันผิดกฎหมาย’เราเลยโอเคเรียกใช้บริการแท็กซี่ พอเรียกคันแรกก็โดนปฏิเสธทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นประเด็นสังคมอยู่ทำไมคุณถึงได้ตอกย้ำกันเหตุการณ์กันแบบนี้มันเลยทำให้ผมมีอารมณ์ และคันคู่กรณีก็ขับผ่านมาแต่เค้าไม่จอด สิ่งที่เกิดขึ้นจากตัวผมคือผมใช้เท้ากระแทกไปที่รถเค้า อันนี้ตัวแท็กซี่เองก็ไม่ทราบ ผมไม่ได้ใช้มือทุบเพราะถือของอยู่ แต่ใช้เท้ายื่นออกไป พอเค้าจอดสิ่งที่ผมทำก็คือเปิดประตูเพื่อที่จะเข้าไปนั่งใช้บริการแต่แท็กซี่ก็เปิดประตูเดินอ้อมมา หลังจากนั้นก็เกิดปากเสียงกัน เหมือนที่เห็นในคลิป เถียงกันไปมาสักพักก็มีประโยคนึงหลุดออกมาจากคนขับคือ ‘มายิงกันสักนัดไหม?’ ผมมองว่าแรงเกินไปและเกินกว่าเหตุเพราะลูกสาวผมก็ยืนอยู่ตรงนั้นผมจึงขอโทษ เค้าก็เลยบอกว่าไหว้สิ ผมก็ไหว้แต่ในคลิปไม่เห็นเพราะกล้องแพนถ่ายตรงทะเบียนรถพอดี

ตอนนั้นหน้าลูกหน้าภรรยาหน้าครบครัวลอยมาหมด พอไหว้เสร็จผมคิดว่าผมก็เป็นต้นเหตุเหมือนกัน จึงเสนอไปว่าจะให้ชดใช้เท่าไร นี่คือสิ่งที่ออนไลน์พาดเกินกว่าเหตุ เพราะจริงๆ แล้วผมเป็นคนเสนอไปเองว่าจะให้ชดใช้เท่าไร เค้าเลยเรียกเงินมา 1พันบาท เค้าไม่ได้เป็นคนเรียกร้องก่อน อันนี้ต้องแฟร์ๆกันผมก็เลยให้ไป1พันบาทแล้วเค้าก็ขับรถออกไป ผมไม่ได้ติดใจอะไร ผมเข้าใจได้ ว่าขับรถมาอยู่ดีๆ มีคนมาตึงที่รถเค้าก็ตรงโกรธเป็นเรื่องธรรมดา

สิ่งที่เป็นประเด็นใหญ่ทั้งผมและคนขับแท็กซี่เป็นเหยื่อของระบบ จริงๆ แล้วทุกวันนี้เรามีทางเลือกที่จะใช้บริการอะไรก็ได้แต่กฎหมายกำลังจำกัดทางเลือกของประชาชน ผมเป็นแค่1เสียงที่อยากจะฝากไปถึงผู้รับผิดชอบเพื่อให้กฎหมายเปลี่ยนแปลง สุดท้ายผมอยากจะขอโทษเพราะผมเป็นคนเริ่ม และไม่อยากเอาผิดอะไรคู่กรณีเพียง แต่ต้องลงบันทึกประจำวันไว้เท่านั้น แต่ผมไม่ต้องการเอาผิด ถ้าไม่มีคลิปเผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้