อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ซึ่งมีพื้นที่มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอเมือง อำเภอแหลมสิงห์ อำเภอขลุง และอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี นอกจากจะมีความสวยงามของน้ำตก ปลาพลวงหินแล้ว ยังมีประวัติศาสตร์และความหลากหลายทางธรรมชาติอีกด้วย ทางอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วจึงจัดเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมธรรมชาติแบบใกล้ชิด และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปในตัว โดยเส้นทางศึกษาธรรมชาติจะมีระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินประมาณ 45 นาที 
ตลอดเส้นทางเราจะพบต้นไม้เป็นจำนวนมาก ทั้งไม้ยืนต้น พืช สมุนไพรต่างๆ รวมถึงไผ่ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เล่าว่า ไผ่ที่อยู่ที่นี่ จะเป็นไผ่ซี้ ลักษณะลำต้นใหญ่ มีปล่องยาว โดยไผ่ชนิดนี้ สามารถเจาะนำน้ำที่อยู่ในลำไผ่มาดื่ม เป็นน้ำดีท็อค เป็นน้ำเพื่อสุขภาพได้ แต่การเจาะต้องทำในเวลากลางคืน เนื่องจากเป็นช่วงที่ไผ่คลายน้ำ คืนนึงจะได้ปริมาณน้ำครึ่งขวด
น้ำจากไผ่ซี้ หากไม่เเช่เย็นจะดื่มได้ 2 วัน แต่ถ้าหากแช่เย็น จะสามารถเก็บไว้ดื่มได้ 7 วัน แต่หากเก็บไว้เกินกว่านี้ น้ำจะเป็นพิษ มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งนี้หน่วยงานเอกชนกำลังศึกษาคุณประโยชน์ของน้ำไผ่ชนิดนี้อยู่ 
ส่วนลูกก่อ ที่หล่นตามพื้นเป็นจำนวนมาก มีลักษณะเป็นลูกสีเขียว กลมๆ ขนาดใหญ่ประมาณเงาะ แต่มีหนามแหลมคม เจ้าหน้าที่เล่าว่า เม็ดลูกก่อนี้ สามารถนำมาคั่วรับประทานได้ รสชาติจะคล้ายกับเกาลัด

นอกจากนี้ยังมีต้นไม้ที่เป็นสมุนไพรอีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นต้นสำรอง ที่เป็นของขึ้นชื่อในจันทบุรี สำรองสามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้ มีลักษณะเหมือนวุ้น หากดื่มแล้วจะคล้ายกับรังนก พ่อค้า แม่ค้าบางคนหัวใส นำมาผสมกับน้ำเชื่อม แล้วหลอกผู้บริโภคว่าเป็นรังนกก็มี น้ำสำรอง มีคุณประโยชน์ในการแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และคุณสมบัติที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ เป็นเครื่องดื่มที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย
สำหรับต้นไม้ที่ขึ้นในบริเวณอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว เทือกเขาสระบาป จะมีต้นพะยูง ต้นกฤษณา (ที่ปัจจุบันเหลือไม่มาก) ต้นกระบาก ที่เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ รวมทั้งต้นไม้ชนิดเล็ก มอส และสิ่งมีชีวิตที่ช่วยย่อยสลาย ไม่ว่าจะเป็น รา เห็ดชนิดต่างๆ ซึ่งเราได้พบกับเห็ดหูหนูที่ขึ้นอยู่ตามกิ่งไม้ ท่อนไม้ผุๆ เป็นเห็ดหูหนูที่ขึ้นตามธรรมชาติ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ระบุว่า ในป่าจะมีเชื้อของเห็ดอยู่หลายชนิด เมื่ออุณหภูมิ ความชื้นเหมาะสม เห็นเหล่านี้ก็จะขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยพื้นที่แห่งนี้จะมีเห็ดขึ้นหลายชนิด เพราะเป็นเขตดิบชื้น
สำหรับสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ที่นี่ จะเป็นลิง ละมั่ง ชะนี หมีควาย หมีขอ หมูป่า และกิ้งก่าตะกอง หรือเรียกอีกชื่อว่า รั้ง กิ้งก่ายักษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบรอยเท้าของเสืออีก 2-3 คู่อีกด้วย แต่ทั้งนี้ที่นี่จะไม่มีช้างป่า ระหว่างทางที่เดิน เราจะเห็นทากหลายตัวอยู่ที่พื้น ซึ่งต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นเราก็เดินไปตามเส้นทาง พบแหล่งต้นน้ำที่มาจากโพรงหิน ก่อนจะไหลรวมกันกลายเป็นน้ำตก ต้นน้ำลำธารในจังหวัดจันทบุรี หล่อเลี้ยงชีวิตของคนที่นี่ ซึ่งน้ำที่นี่ใส สะอาดเป็นอย่างมาก
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ เราจะพบสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ พระปรมาภิไธยย่อของ 3 รัชกาล คือ จปร. พระปรมาภิไธยย่อของรัชกาลที่ 5 วปร. พระปรมาภิไธยย่อของรัชกาลที่ 6 ปปร. พระปรมาภิไธยย่อของรัชกาลที่ 7 อีกด้วย โดยหินที่จารึก ทางกรมศิลปากรห้ามเปลี่ยนแปลง ดัดแปลง หรือกระทำการใดๆ บนหินทั้งหมด ห้ามขูด ขีด หรือลงแป้งถู ต้องปล่อยตามธรรมชาติ และกรมศิลปากรจะลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
เมื่อถึงบริเวณน้ำตก จุดสุดท้ายของเส้นทางธรรมชาติ เราจะพบกับอลังกรณ์เจดีย์ ที่รัชกาลที่ 5 โปรดให้สร้างเพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้ว, สุนันทานุสาวรีย์ ที่รัชกาลที่ 5 สร้างเพื่อระลึกแห่งความรักและความอาลัยที่มีต่อสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และเมื่อถึงจุดสิ้นสุด เราพบกิ้งก่าตะกอง มายืนอวดโฉมให้ได้ถ่ายรูปกัน เจ้าหน้าที่อุทยานฯ หลายคน เล่าว่า เจ้ากิ้งก่าตัวนี้เชื่อง ชอบออกมาหาคน โดยอาหารหลักที่กิ้งก่าชนิดนี้กินคือแมลง และสัตว์น้ำชนิดเล็ก ที่สำคัญ กิ้งก่าชนิดนี้ดำน้ำอึดมาก
เจ้าหน้าที่ของอุทยาน ย้ำว่าหากนักท่องเที่ยวสนใจจะเดินตามรอยเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ควรแจ้งเจ้าหน้าล่วงหน้า เพื่อให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้พาไป ในบางจุดจะเป็นพื้นที่สูงชัน ต้องปีนและจับเชือก และข้อดีสำหรับการมีเจ้าหน้าที่พาไป คือ เราสามารถซักถามข้อมูลต่างๆ ได้ด้วย
...
ผสข.สมจิตร์ พูลสุข