กระทรวงการต่างประเทศตูนิเซียเรียกตัวนายลูอิซ เดอ ซูซา เดอ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำตูนิเซียมาประท้วงกรณีห้ามนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ขึ้นเครื่องบินไปสหราชอาณาจักร โดยระบุว่า ไม่มีเหตุผล อีกทั้งยังสร้างความประหลาดใจว่าเหตุใดถึงไม่ปรึกษาหรือแจ้งล่วงหน้าก่อนการประกาศใช้ นอกจากนี้ ยังเห็นว่า คำสั่งห้ามไม่สะท้อนสถานการณ์ความมั่นคงในตูนิเซีย ซึ่งแม้แต่รายงานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศปี 2559 ยังระบุว่า เป็นหนึ่งในประเทศที่มีสนามบินปลอดภัยที่สุดในโลก ทั้งนี้ คำสั่งนี้มีขึ้นภายหลังสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรอ้างรายงานข่าวกรองบ่งชี้ว่า เครื่องบินโดยสารอาจตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มก่อการร้ายในการฝังระเบิดไว้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำให้ทั้งสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรต้องประกาศใช้มาตรการสั่งห้ามผู้โดยสารนำแล็บท็อปและแท็บเล็ตขึ้นเครื่องบนเที่ยวบินระหว่างประเทศ ซึ่งมาจากตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ ส่งผลกระทบต่อ 9 สายการบินจาก 8 ประเทศที่จะเดินทางไปสหรัฐฯ ได้แก่ ตุรกี โมร็อกโก จอร์แดน อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และคูเวต และส่งผลกระทบต่อ 14 เที่ยวบิน จาก 6 ประเทศที่จะเดินทางไปสหราชอาณาจักร ได้แก่ อียิปต์ ตุรกี จอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย ตูนิเซีย และเลบานอน อย่างไรก็ตาม สายการบินตุรกีแอร์ไลน์สแถลงว่า ทางสายการบินจะอนุญาตให้ผู้โดยสารใช้แล็บท็อปได้จนถึงประตูที่จะขึ้นเครื่อง หรือ บอร์ดดิ้งเกท จากนั้นผู้โดยสารจะต้องส่งแล็บท็อปให้แก่เจ้าหน้าที่สายการบิน เพื่อนำไปจัดเก็บไว้ในบริเวณที่จัดไว้เป็นพิเศษ และเจ้าหน้าที่จะคืนให้เมื่อผู้โดยสารหลังเดินทางถึงจุดหมายปลายทาง เพื่อความสบายใจของผู้โดยสารและการปฏิบัติตามคำสั่งห้ามของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร แต่ผู้โดยสารจะยังใช้อินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือขณะอยู่บนเครื่องได้ อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีไตยิป เออร์โดแกน ของตุรกี ได้เรียกร้องทั้งสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรยกเลิกคำสั่งห้ามนี้กับตุรกีโดยเร็วที่สุด
..
(0945 F171)