การใช้อำนาจมาตรา44 เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า หากพบมีการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงจากความประมาท การละเมิดกฎหมายของผู้ขับขี่รถสาธารณะ หรือมีการนำรถสาธารณะไปใช้ขนสิ่งของผิดกฎหมาย จะมีโทษ เพิกถอนทะเบียนรถ พักการใช้รถ และกรณีรุนแรงคือการเพิกถอนใบอนุญาตของผู้ประกอบการ ซึ่งกรมการขนส่งทางบกเน้นเพิ่มความรับผิดชอบของผู้ประกอบการและเจ้าของรถโดยสารสาธารณะ ไม่ปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบของผู้ขับขี่รถโดยสารเพียงอย่างเดียว รวมถึงรถโดยสารสาธารณะทุกประเภทต้องติดตั้งระบบ GPS ให้แล้วเสร็จภายใน 31 มีนาคมนี้ หากไม่ปฏิบัติตามมีโทษปรับวันละ 5,000 บาท จนกว่าจะดำเนินการให้เรียบร้อย และรถตู้โดยสารสาธารณะทั้งรถตู้หมวด2 วิ่งระหว่างกรุงเทพมหานคร-ต่างจังหวัด รถตู้หมวด3วิ่งต่างจังหวัด จะต้องมีจำนวนที่นั่งไม่เกิน 13 ที่นั่ง เพื่อง่ายต่อการเคลื่อนย้ายออกจากรถ คล่องตัวมากขึ้น รถไม่แออัดจนเกินไป โดยมีแนวทางการปรับสภาพรถให้เบาะหลังสามารถพับลงได้ ผู้โดยสารสามารถปลดล็อคประตูหลัง และออกจากรถได้หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ส่วนประเด็นการต่อภาษีรถประจำปี กรมการขนส่งทางบก ยังคงอำนวยความสะดวกในการชำระภาษีอยู่ โดยรถที่ไม่ค้างชำระค่าปรับ สามารถต่อภาษีได้ตามปกติ แต่สำหรับกรณีที่ผู้ขับขี่มีใบสั่งและยังไม่ได้ชำระค่าปรับ สามารถชำระพร้อมต่อภาษีรถประจำปีทันทีที่กรมการขนส่งทางบก แต่หากไม่พร้อมชำระค่าปรับก็สามารถต่อภาษีรถประจำปีได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต่อภาษีชั่วคราว ให้ 30 วัน ผู้ขับขี่จะต้องไปชำระค่าปรับและนำ หลักฐานมารับป้ายภาษีประจำปีได้แต่หากไม่ดำเนินการตามที่กำหนด กรมขนส่งทางบกจะงดการออกป้ายภาษีประจำปี ถือว่ารถคันนั้นผิดกฎหมาย และไม่อนุญาตให้ใช้รถบนท้องถนน สำหรับประชาชนต้องการยื่นเรื่องโต้แย้งใบสั่ง ก็สามารถดำเนินการยื่นเรื่องได้ภายใน 15 วัน
ขณะที่ นายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่าจากสถิติการเกิดอุบัติเหตุในปี2559พบว่า ร้อยละ 65 เกิดจากการขับขี่ด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนด จึงต้องมีการพิจารณาเพิ่มอัตราโทษและเพิ่มเงื่อนไขข้อกฎหมายเพื่อความปลอดภัย และใช้มาตรา 44 เพื่อให้กฎหมายที่อยู่ระหว่างการร่างมีผลบังคับใช้ทันที
ด้านพลตำรวจโทวิทยา ประยงค์พันธ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนทราบถึงมาตรการเข้มงวดตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม จนถึงวันที่ 4 เมษายน จากนั้นจะเริ่มจับกุมตามกฎหมายในวันที่ 5 เมษายนเป็นต้นไป ซึ่งปัจจุบันพบมีผู้กระทำความผิดในฐานขับรถเร็วเกินกำหนดกว่า 710,000 คนยังไม่ชำระค่าปรับ
สำหรับการคาดเข็มขัดนิรภัย ผู้ขับรถโดยสารต้องแจ้งให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง และติดป้ายประชาสัมพันธ์ภายในรถ เพื่อแสดงถึงเจตนา หากแจ้งแล้วผู้โดยสารไม่ปฏิบัติตามก็ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้โดยสาร แต่หากผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะไม่แจ้งให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัย จะถือละเลยการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ มีอัตราโทษปรับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนรถยนต์ส่วนบุคคล มีอัตราโทษปรับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารไม่เกิน 500 บาท ซึ่งเข็มขัดนิรภัยจะยึดตามประเภทรถที่มีการจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก รถที่จดทะเบียนก่อนปี 2531 ไม่บังคับติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในที่นั่งผู้โดยสาร แต่รถที่จดทะเบียนหลังมกราคม 2554 ต้องมีเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง สำหรับกรณีรถปิกอัพ รถสอง แถวและรถสามล้อเครื่องที่ไม่มีเข็มขัดนิรภัย จะมีมาตรการจำกัดพื้นที่การวิ่ง และควบคุมความเร็วไม่ให้เกินกฎหมายกำหนดต่อไป
ด้านพลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้มีดารบังคับใช้กฎหมายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการใช้รถกระบะผิดประเภท ห้ามบรรทุกผู้โดยสารบริเวณท้ายกระบะโดยเด็ดขาด พร้อมฝากถึงประชาชน ขอให้ร่วมมือกันเคารพกฎหมายเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน
ผสข. ธนดา เฉลิมวันเพ็ญ