ผบ.ตร.ไม่ให้ราคาพระธัมมชโย ขอความเป็นธรรมให้จนท. ไม่ใช่กิจของสงฆ์ต่อต้านจนท. เป็นห่วงคนบริสุทธิ์

หลังการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์ เพื่อเข้าปฏิบัติการตรวจค้นภายในวัดพระธรรมกายช่วงบ่ายวันนี้ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า บ่ายวันนี้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะเข้าไปในพื้นที่โซนเอและโซนบี เพื่อตามหาตัวพระธัมมชโย โดยสถานการณ์ขณะนี้ปกติดี รอดีเอสไอส่งสัญญานมา ทางตำรวจได้เตรียมความพร้อมไว้ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว ซึ่งการเข้าตรวจค้นครั้งนี้ดีเอสไอจะเข้าไปหน่วยงานเดียว ตำรวจไม่ได้เข้าร่วมตรวจค้นด้วย เพียงแต่ตรึงกำลัง ดูแลความปลอดภัยให้เท่านั้น  สำหรับการเข้าตรวจค้นภายในวัด ทางศิษยานุศิษยฺไม่ยินยอมให้เข้าไปในวัด แต่ทางพระยินยอมและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ จึงอยากขอให้สังคมช่วยตัดสิน

ส่วนการใช้อำนาจตามมาตรา 44 นั้น ย้ำว่าหากพบการกระทำผิดก็ต้องดำเนินคดีหมด เชื่อว่าประชาชนรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกอยู่แล้วจึงขออย่าทำผิด ทั้งนี้ได้ปฎิเสธไม่ทราบ 2 มหาเศรษฐีคอยหนุนหลังและให้การช่วยเหลือพระธัมชโย

พล.ต.อ. จักรทิพย์ ระบุว่า กรณีที่ทางวัดใช้โซเชียลปลุกระดมคนนั้นมีการป้องกันอยู่แล้ว พร้อมเรียกร้องให้พระธัมมชโยมอบตัวต่อสู้คดี  อย่านำมวลชนมาเป็นเครื่องมือในการปกป้องตัวเอง และขอให้สื่อให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ด้วย สำหรับกรณีที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อหรือไม่ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ระบุว่า ทางดีเอสไอ จะเป็นผู้ประเมินสถานการณ์แต่อย่างน้อยกำหนดไว้ 7 วัน ทั้งนี้เห็นว่าศิษย์ควรให้ตำรวจเข้าไปตรวจค้นตามหมายศาล ซึ่งการไม่ให้ค้นมองว่าอาจมีเจตนาไม่ดี เพราะหากให้ค้น และยอมทำตามกฎหมายเรื่องก็จบ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ย้ำว่า มาตรา 44 สามารถจับกุมพระธัมมชโยได้แน่นอน เพราะกฎหมายต้องเป็นกฎหมาย พร้อมกล่าวว่าไม่ได้รู้สึกหนักใจ แต่มองว่าการกระทำของวัดในขณะนี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่เป็นการกระทำแบบนักเลงมากกว่า โดยย้ำว่าตำรวจจะไม่ใช้ความรุนแรง เพราะไม่มีความจำเป็น และยืนยันตำรวจไม่ได้พกอาวุธ รวมทั้งสนับมือตามที่มีกระแสข่าว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ไม่ได้ให้ราคากรณีพระธัมมชโยไม่มอบตัว แต่เวลาถูกจับกุมอย่าเรียกร้องขอปล่อยตัวแล้วกัน พร้อมระบุยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับกำลังดูแลภายในวัด แต่ตัวเองเป็นห่วงประชาชนคนบริสุทธิ์ในบริเวณนี้มากกว่า จึงใช้กำลังจำนวนมาก ไม่ใช่การขี่ช้างจับตั๊กกะแตนมาจับพระเพียงรูปเดียว

ส่วนการเผยแพร่ข้อมูลทางโซเชี่ยลมีเดีย ต้องตรวจสอบว่ามีการบิดเบือนข้อมูล หรือเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 116 หรือไม่ หากพบว่าผิด ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

ผสข. สมจิตร์ พูลสุข รายงาน