จัดรถส่งกลุ่มผู้ชุมนุมต้านโรงไฟฟ้ากระบี่กลับ โฆษกรัฐบาลย้ำชุมนุมผิดกฎหมาย ย้ำมีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันมลพิษ

การชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินที่อำเภอเทพาจังหวัดสงขลาและที่อำเภอเหนือคลองจังหวัดกระบี่ ที่ปักหลักชุมนุม อยู่ภายในสำนักงานกพ. ทำเนียบรัฐบาล และบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ยังคงอยู่ได้ทำการเจรจาให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ โดยได้เตรียมรถบัสมารอรับผู้ชุมนุมด้วย ขณะที่ก็ได้ออกจากพื้นที่ไปบ้างแล้วเช่นกัน  ส่วนช่วงสายของวันนี้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัวแกนนำผู้ชุมนุมคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินบริเวณทำเนียบรัฐบาล จำนวน 3 คน ไปนั้น พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดว่า เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เพราะแม้เจ้าหน้าที่จะพูดคุยเพื่อเจรจาให้ยุติการชุมนุมหรือให้ไปชุมนุมในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่ไม่เป็นผล ผู้ชุมนุมกลับใช้กำลังกดดันเจ้าหน้าที่และแสดงเจตจำนงที่จะปักหลักชุมนุม พร้อมทั้งเชิญชวนประชาชนให้มาร่วมชุมนุมเพิ่มเติมด้วย จึงถือเป็นการทำผิด พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ อีกทั้งในวันที่ 20 ก.พ.นี้ ศาลแพ่งได้นัดไต่สวนผู้จัดการชุมนุม ตามที่เจ้าหน้าที่ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ยุติการชุมนุม เพราะมีการทำผิดเงื่อนไข

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า รัฐบาลอยากให้สังคมมองภาพใหญ่ของประเทศหรืออนาคตของประชาชนในภาคใต้ โดยอย่ามองเรื่องการคัดค้านเพียงอย่างเดียว เพราะมีประชาชนอีกไม่น้อยที่เห็นด้วยกับการสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและป้องกันปัญหาไฟฟ้าดับ ทั้งนี้ ยืนยันว่าการขนส่งถ่านหินจะไม่กระทบเส้นทางเดินเรือประมงและการท่องเที่ยว และยังมีการติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัยได้มาตรฐานสากลเพื่อป้องกันมลพิษสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี

ส่วนข้อเสนอให้ใช้น้ำมันปาล์มผลิตไฟฟ้าแทนโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น กระทรวงพลังงานยืนยันว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันปาล์มสูงถึง 8.42 บาทต่อหน่วย เมื่อเทียบกับน้ำมันเตาที่ปัจจุบันโรงไฟฟ้ากระบี่ใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักอยู่ 3.78 บาทต่อหน่วย หรือน้ำมันปาล์มแพงกว่าน้ำมันเตาถึง 4.64 บาทต่อหน่วย ดังนั้น หากใช้น้ำมันปาล์มเดินเครื่องโรงไฟฟ้ากระบี่เต็มกำลังการผลิตจะผลิตไฟฟ้าได้ 2,400 ล้านหน่วยต่อปี แต่จะทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นประมาณ 11,000 ล้านบาทต่อปีเช่นกัน

ปัจจุบันมีเพียงโรงไฟฟ้ากระบี่เท่านั้นที่ใช้น้ำมันเตาผสมกับน้ำมันปาล์มในการผลิตไฟฟ้าได้ แต่ยังไม่สามารถนำน้ำมันปาล์มเพียงอย่างเดียวเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้โดยตรง การใช้น้ำมันปาล์มผลิตไฟฟ้าจึงควรเป็นมาตรการชั่วคราว เช่น กรณีวิกฤตไฟฟ้าจากการปิดซ่อมท่อก๊าซธรรมชาติ หรือช่วงที่ภาคใต้ขาดแคลนไฟฟ้าฉุกเฉินเท่านั้น