+++พล.ต.อ. คาหลิด อาบู บาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย กล่าวในแถลงการณ์ว่า หญิงสาวผู้ต้องสงสัยถูกตำรวจมาเลเซียจับกุม ที่ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ โดยบุคคลที่เสียชีวิต ที่ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ถูกระบุตัวตนโดยทางการเกาหลีใต้ว่าคือ นายคิม จองนัม พี่ชายต่างมารดาของนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันของเกาหลีเหนือ พล.ต.อ.คาหลิด กล่าวว่า หญิงสาวต้องสงสัยที่ถูกจับกุม ถือหนังสือเดินทางสัญชาติเวียดนาม โดยใช้ชื่อ ดวน ธี เฮือง ระบุวันเดือนปีเกิด 31 พ.ค. 2531 และเธออยู่คนเดียวขณะถูกจับกุม
+++ตำรวจมาเลเซีย เปิดเผยว่า ตำรวจอยู่ระหว่างติดตามผู้ต้องสงสัยคนอื่นๆอีก 5 คนที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง คือสตรี 2 คนและชาย 4 คนที่ปรากฏในกล้องซีซีทีวีของสนามบิน
+++ด้านนายฟัดซิล อาห์มัด ผู้บังคับการตำรวจรัฐสลังงอร์ มาเลเซียระบุว่า นายคิมบอกกับพนักงานต้อนรับประจำสนามบินว่ามีใครบางคนเอื้อมมือจับที่ใบหน้าของเขาจากด้านหลังและฉีดพ่นของเหลวใส่เขา เขาร้องขอความช่วยเหลือและถูกส่งตัวไปยังห้องพยาบาลประจำสนามบินทันที ช่วงนั้นเขามีอาการปวดหัวและใกล้จะหมดลมหายใจ มีอาการชักเล็กน้อย จึงถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาลมุ่งหน้ายังโรงพยาบาลปูตราจายา แพทย์แถลงในเวลาต่อมาว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ตำรวจมาเลเซียยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการว่าผู้ตายคือนายคิม จองนัมหรือไม่ เนื่องจากเขาเดินทางโดยใช้ชื่อปลอมว่านายคิม โชล แต่รัฐบาลเกาหลีใต้ยืนยันว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน โดยผอ.สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ชี้แจงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติว่านายคิมเสียชีวิตจากการถูกวางยาพิษโดยผู้ต้องสงสัยสตรีชาวเอเชีย 2 คน นับเป็นการเสียชีวิตของบุคคลระดับสูงที่สุดที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลเกาหลีเหนือ นับตั้งแต่นับตั้งแต่นายจางซองแต๊ก อาเขยของนายคิม จองอึน ถูกประหารชีวิตเมื่อเดือนธันวาคม 2556
+++ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายคิมเดินทางโดยใช้ปลอม ก่อนหน้านี้เขาถูกควบคุมตัวขณะพยายามจะเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นโดยใช้พาสปอร์ตปลอมเมื่อปี 2544 เขาบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าเขาวางแผนจะไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ในกรุงโตเกียว
+++ความคืบหน้าเหตุคนร้ายกลุ่มหนึ่ง ใช้มีดไล่แทงคนในเขตเทศมณฑลเมืองปีชาน ใกล้เมืองโฮตัน ของจีน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสอบสวน ตำรวจเรียกกลุ่มคนร้ายว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจลาจล สำหรับท้องที่ดังกล่าวมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมอุยกูร์ เคยร้องเรียนว่าถูกรัฐบาลจีนกดขี่และการกีดกั้นโอกาสเนื่องจากความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมและศาสนา
+++นายดิลซัต ราซิต โฆษกสภาอุยกูร์โลก เพิ่มเติมว่าตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัย 6 คนหลังเกิดเหตุ ในจำนวนนี้รวมถึงวัยรุ่นชาวอุยกูร์ 2 คนซึ่งส่งแชร์เรื่องนี้ผ่านโทรศัพท์สมาร์ทโฟน
+++เว็บไซต์แชนเนลนิวส์ เอเชีย ของสิงคโปร์รายงานอ้างผลคะแนนเบื้องต้นในการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ซึ่งรวบรวมโดยบริษัทเอสเอ็มอาร์ซี ผู้จัดทำโพลล์เอกชนอินโดนีเซียว่า นายบาร์ซูกี จาฮายา ปูร์นามาหรืออาฮ็อค ผู้ว่าราชการกรุงจาการ์ตาคนปัจจุบันของอินโดนีเซีย มีคะแนนสูสีมากกับคู่แข่งคือนายแอนีส บาสเวดาน อดีตรัฐมนตรีศึกษาธิการ ในการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงจาการ์ตา โดยนายบาสเวดานได้คะแนนเสียงร้อยละ 40.54 ขณะที่นายปูร์นามามีคะแนนอยู่ในอันดับสองคือร้อยละ 39.43 ส่วนพ.ต.อากุส ฮาริมูร์คี ยูโดโยโน บุตรชายวัย 38 ปีของอดีตประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน รั้งอันดับ 3 ร้อยละ 20.03
+++คณะกรรมการการเลือกตั้งของอินโดนีเซีย คาดว่า ผลการนับคะแนนอาจจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์จึงจะแล้วเสร็จ ลคะแนนของโพลล์หลายสำนักแม่นยำพอสมควร นอกจากนี้ความตึงเครียดทางศาสนา โดยเฉพาะกรณีผู้ประท้วงชาวมุสลิมเพื่อคัดค้านนายปูร์นามา ชาวคริสต์ บดบังความสำคัญของการเลือกตั้งในครั้งนี้พอสมควร แต่หลายฝ่ายก็มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เปรียบเสมือนสงครามตัวแทนในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นในปี 2562 หากผลปรากฏว่าไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนถึงร้อยละ 50 ผู้ที่ได้คะแนนมากที่สุด 2 อันดับแรกจะต้องลงเลือกตั้งในรอบ 2 คนที่ได้คะแนนมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ
+++พล.ต.อ.เชย สินาฤทธิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชา แถลงในกรุงพนมเปญ ยืนยันการจับกุม นายโทนี เจมส์ เนแลมส์ อายุ 45 ปีชาวอังกฤษ ซึ่งถูกนำตัวขึ้นศาลแขวงพนมเปญเมื่อวันพุธ เพื่อสอบปากคำ โดยนายนีแลมส์ เป็นผู้ต้องสงสัย 1 ใน 3 คน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยต้องการตัว จากเหตุการณ์คนร้ายบุกยิงนายโทนี เคนเวย์ วัย 39 ปี ชาวอังกฤษ เสียชีวิตในรถสปอร์ตปอร์เช่ กลางเมืองพัทยา เมื่อวันที่ 24 ม.ค. คดีนี้ภรรยาชาวไทยของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า นายเคนเวย์ทำธุรกิจพัฒนาเว็บไซต์ แต่สื่อในไทยรายงานว่าธุรกิจของนายเคนเวย์เกี่ยวพันกับเว็บไซต์การพนันด้วย และก่อนหน้านี้ตำรวจไทยกล่าวว่า จากการสืบสวนพบเบาะแส ผู้ต้องสงสัยร่วมทีมสังหารนายเคนเวย์อีก 2 คน ชาวแอฟริกาใต้และชาวอังกฤษ หลบหนีข้ามแดนเข้าสู่กัมพูชาแล้ว
+++หลังจากที่นายโค นิ ทนายความชื่อดัง ถูกคนร้ายใช้ปืนพก จ่อยิงที่บริเวณศีรษะ ล้มลงเสียชีวิต เมื่อบ่ายวันที่ 29 ม.ค. ขณะรอรถแท็กซี่โดยสารเข้าเมือง ที่ลานจอดรถของสนามบินย่างกุ้ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความสั่นสะเทือนทั่ววงการเมืองในเมียนมา พรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของนางซูจี ออกแถลงการณ์ประณาม และระบุว่าเป็นการสังหารทางการเมือง และการก่อการร้ายต่อนโยบายของพรรค นายโค นิ เป็นปากเสียงคนสำคัญของชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในเมียนมา
+++มือปืนที่ลงมือสังหารนายโค นิ คือนายจี ลิน ถูกจับกุมได้หลังก่อเหตุ และหลังจากข่าวรั่วไหล และความเห็นขัดแย้งกันของตำรวจ สื่อทางการเมียนมายืนยันในหลายวันต่อมาว่า สามารถจับกุม ผู้ต้องสงสัยสมรู้ร่วมคิด ได้อีก 1 คนคือ นายอ่อง วิน ซอ ที่รัฐกะเหรี่ยง ทางภาคใต้
+++แถลงการณ์ของทำเนียบประธานาธิบดีเมียนมา กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยข่าวกรองตำรวจและทหารกำลังตามล่าตัวน้องชายนายอ่อง วิน ซอ คือ พ.ท.อ่อง วิน เค็ง อดีตนายทหารกองทัพบก ที่เป็นผู้บงการสังหารในตอนแรก จากการสอบสวนนายอ่อง วิน ซอ พ.ท.อ่อง วิน เค็ง น้องชาย ได้ร้องขอให้เขาสังหารนายโค นิ ในเดือน ก.ค. 2559
+++ ประมาณเดือน ส.ค. - ก.ย. 2559 นายจี ลิน มือปืนได้ไปพบนายอ่อง วิน ซอ เพื่อของานทำ ซึ่งเขาได้เสนอเงินจำนวน 800 ล้าน - 1,000 ล้านจ๊าต (ประมาณ 2,028,000 - 2,552,000 บาท) เพื่อให้สังหารนายโคนิ จาการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดภายในสนามบินย่างกุ้ง ตำรวจพบ พ.ท.อ่อง วิน เค็ง กำลังสอบถามเวลาเที่ยวบินลงจอด ก่อนที่นายโค นิ จะถูกยิง
+++นายโมฮัมเหม็ด อัล-รัมฮี รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันและก๊าซโอมาน เปิดเผยระหว่างการประชุมว่าด้วยน้ำมัน ที่กรุงคูเวตซิตี คาดว่าสถานการณ์ตลาดน้ำมันโลกในเดือน ก.พ. จะดีขึ้น องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และกลุ่มนอกโอเปก รวมถึงรัสเซีย ตกลงกันในเดือน พ.ย. ที่แล้ว จะลดการผลิตน้ำมันดิบลงประมาณ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังราคาน้ำมันตกต่ำอย่างรุนแรง โอมานเป็น 1 ใน 11 กลุ่มประเทศนอกโอเปก ซึ่งตกลงลดการผลิตน้ำมันดิบลงทั้งหมด ประมาณ 558,000 บาร์เรลต่อวัน นายรัมฮี กล่าวว่า กลุ่มนอกโอเปกได้ปฏิบัติตามข้อตกลงแล้วกว่าครึ่ง และคาดว่าจะลดการผลิตลงอีก ในระยะหลายสัปดาห์ข้างหน้า
+++การแถลงข่าวร่วมระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล ที่ห้องตะวันออกในทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน หลังพิธีต้อนรับนายเนทันยาฮูและคณะ โดยนายทรัมป์ ประกาศว่าสหรัฐฯกับอิสราเอลจะไม่มีวันแยกจากกัน และให้คำมั่นกับนายเนทันยาฮูว่า สหรัฐฯจะไม่มีทางอนุญาตให้อิหร่านผลิตอาวุธนิวเคลียร์อย่างเด็ดขาด คำประกาศของนายทรัมป์ มีเป้าหมายเพื่อระงับความวิตกของอิสราเอล เกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์ ผู้นำทั้งสองพบปะกันแบบเผชิญหน้าเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพตะวันออกกลาง
แฟ้มภาพ