สรุปข่าว 19.35 น.
+++หลังสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดสถาปนา สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร) เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะมีพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ในวันที่ 12 ก.พ.นี้เวลา 17.00 น. โดยจะมีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจประเทศไทยจากพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ตามแบบการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเช่นทุกครั้ง โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินไปถวายพระสุพรรณบัฏ หรือชื่อสมเด็จพระสังฆราชที่จารึกลงบนแผ่นทอง ถวายพัดยศ เครื่องสมณบริขาร หรือเครื่องยศสมเด็จพระสังฆราช และอาลักษณ์อ่านประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ถือเป็นอันเสร็จพิธี
สำหรับสมเด็จพระสังฆราชที่จะได้รับการโปรดสถาปนาครั้งนี้ เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่มีวัตรปฏิบัติเป็นที่เคารพนับถือ เลื่อมใส สมถะ อย่างที่มีการพูดถึงกัน และเป็นศิษย์ที่เลื่อมใสศรัทธามากของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ส่วนพระนามของสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 จะใช้พระนามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ และวงเล็บต่อท้ายด้วยชื่อเดิม ซึ่งเป็นพระนามของสมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 1 ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงองค์ที่ 18 ส่วนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 นั้น เหตุที่พระนามแตกต่างจาก 18 องค์ เนื่องจากในหลวงรัชกาลที่ 9 โปรดสถาปนาให้มีชื่อเดิม ก่อนที่จะเป็นสมเด็จพระสังฆราช
+++พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เผยว่าทางการประเทศมาเลเซียจับผู้ต้องสงสัย 6 คน ที่อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอส โดยหนึ่งในนั้นมีประวัติเกี่ยวข้องกับกลุ่มบีอาร์เอ็น และมีข้อมูลกระทำผิดในไทยว่า หากมีความผิดชัดเจนว่าเคยก่อเหตุการณ์ความไม่สงบภาคใต้ เราก็อาจจะขอเข้าไปร่วมฟังการพิจารณาคดี หรือขอตัวเพื่อมาดำเนินการในประเทศไทย
+++พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ระบุทางการไทยได้ประสานมาเลเซียขอตัวกลุ่มบุคคลที่มาเลเซียจับกุมได้ เนื่องจากตรวจสอบพบว่า 1 ใน 6 คนที่ถูกจับกุมมีประวัติอยู่ขบวนการบีอาร์เอ็น และมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ของไทย แต่ยังไม่พบเชื่อมโยงกับขบวนการไอเอส
+++พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี เปิดเผย ถึงการจัดซื้อรถเมล์ ngv ว่า ขณะนี้ไม่ได้มีการอนุมัติรับ รถเมล์ดังกล่าว ซึ่งหลังจากนี้จะต้องเป็นไปตามกระบวนการสอบสวน ข้อเท็จจริงในเรื่องการสำแดงเท็จ และหลีกเลี่ยงภาษี พร้อมหากระบวนการนำรถเมล์มาใช้ใหม่ ก่อนหน้านี้ นายชัยยุทธ คำคุณ รองอธิบดีกรมศุลกากร ในฐานะโฆษกกระทรวงกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรมั่นใจว่ารถเมล์เอ็นจีวีที่นำเข้าโดยบริษัทซุปเปอร์ซาร่าทั้ง 489 คัน เป็นรถมีแหล่งกำเนิดมาจากจีนทั้งหมด โดยกรมศุลกากรมีหลักฐานยืนยันได้ว่าเป็นรถยนต์จากจีน ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้กรมศุลกากรจะพยายามสั่งปิดคดี เพื่อเอาผิดกับผู้นำเข้า โดยวันนี้ ขอโชว์หลักฐาน 1 ชิ้น เพื่อให้เห็นว่ารถเมล์เอ็นจีวีนี้เป็นรถยนต์จากจีน โดยเป็นรูปถ่ายของรถเมล์สีฟ้า กำลังวิ่งลงจากเรือเพื่อไปจอดยังท่าเรือของมาเลเซีย และพักไว้ หลังจากนั้นนำรถขึ้นเรือขนส่งมายังไทย โดยไม่พบการประกอบรถเมล์เพิ่มเติมในโรงงานมาเลเซีย กรมยังมีหลักฐานอีกหลายชิ้น แต่ไม่สามารถนำมาเปิดเผยได้ทั้งหมด เพราะจะเสียรูปคดี ส่วนกรณีที่บริษัท เบสท์ริน จะฟ้องร้องกรมศุลกากร หรือให้ใครมาตรวจสอบการทำงานของกรม เป็นสิทธิของเอกชนที่จะดำเนินการ กรมพร้อมที่จะให้หน่วยงานราชการทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามาตรวจสอบการทำงานของกรม
+++ด้านนายกรีชา เกิดศรีพันธุ์ รองโฆษกกรมศุลกากร กล่าวว่า ซุปเปอร์ซาร่านำเข้ารถยนต์มา 5 ล็อต ล็อตแรก 1 คัน ล็อต 2 จำนวน 99 คัน ทั้ง 2 ล็อตขอใช้สิทธิ์ฟอร์มดี แจ้งแหล่งผลิตในมาเลเซีย กรมเห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะเป็นรถยนต์จากจีน ปฏิเสธการใช้ฟอร์มดี ผู้นำเข้านำรถล็อตแรก 1 คันออกไปด้วยการเสียภาษีและค่าปรับในส่วนที่ขาดนำรถยนต์ ยังเหลือล็อต 2 ส่วนล็อต 3-5 จำนวน 389 คัน นั้นไม่ได้ขอใช้สิทธิ์ฟอร์ม ดีจึงเสียภาษีนำเข้าในอัตราปกติ 40% แต่แจ้งแหล่งผลิตคือมาเลเซีย ในการนำรถออกไปนั้นกรมขอสงวนสิทธิ์ไว้ว่าสงสัยนำเข้าจากจีน ถ้าสรุปคดี โดยโทษแจ้งแหล่งกำเนิดผิดคือเสียค่าปรับไม่เกิน 5 แสนบาทต่อใบขน อย่างไรก็ตามผู้นำเข้าขอสงวนสิทธิ์ในการยื่นเอกสารฟอร์มดีเพื่อสิทธิประโยชน์ภาษี ถ้าผู้นำเข้ามีเอกสารยืนยันว่าเป็นรถจากมาเลเซีย กรมศุลกากรจะคืนภาษีให้กับผู้นำเข้า
+++นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงกรณีที่สายการบินได้ปรับค่าตั๋วโดยสารเฉลี่ยประมาณ 150-200 บาท ต่อคนต่อเที่ยว หลังจากครม.มีมติเมื่อวันที่ 17 ม.ค.60 ให้ปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินภายในประเทศเป็น 4 บาทต่อลิตรว่า สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือกพท. ได้ให้สายการบินทบทวนการปรับขึ้นค่าตั๋วโดยสาร เพื่อให้สอดคล้องต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้นจริง และไม่กระทบกับผู้โดยสาร เนื่องจากพบว่าตั๋วโดยสารของสายการบินปรับเฉลี่ยเท่ากันหมด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วค่าตั๋วจะต้องดูปัจจัยอื่นประกอบด้วย เช่น เส้นทางการบิน เครื่องบินที่ใช้บิน ซึ่งต้นทุนจะมีความแตกต่างกัน
+++ด้านนายจุฬา สุขมานพ ผู้ว่าการ กพท. กล่าวว่า เพดานอัตราค่าโดยสารเครื่องบินทั้งโลว์คอสต์และสายการบินทั่วไปที่บินในเส้นทางที่เกิน 300 กม.คิดในอัตรา 13 บาทต่อกม. ถ้าบิน 500 กม.ก็คูณด้วย 13 บาท ทำให้ราคาตั๋วที่ขายจะอยู่ที่ 6,500 บาท แต่การขึ้นภาษีสรรพสามิตทำให้ต้นทุนสายการบินเพิ่มจาก 20 สต. ต่อลิตร เป็น 4 บาทต่อลิตรแล้ว จะต้องบวกภาษีท้องถิ่น 1 บาทกว่าขึ้นกับพื้นที่ และรวมค่าภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ประกอบกับช่วงเดือนม.ค.ราคาน้ำมันเครื่องบินจากเดิมไม่ถึง 20 บาทต่อลิตร แต่ในเดือนก.พ.ราคาอยู่ที่ 26-33 บาทต่อลิตร ซึ่งขึ้นอยู่กับสนามบินทำให้ต้นทุนขึ้นมาเฉลี่ย 6.50 บาทขึ้นไปทุกสายการบิน
+++ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 1,582.52 จุด ลดลง 6.61 จุด มูลค่าการซื้อขาย 48,203.38 ล้านบาท นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะติดลบ แต่ก็ไม่มาก เนื่องจากยังมีความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และการกีดกันไม่ให้พลเมืองจาก 7 ประเทศมุสลิมเข้าสหรัฐฯ รวมถึงราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงแรง ทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานนำตลาดฯดิ่งในวันนี้
+++ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบในวันนี้ เนื่องจากเงินเยนที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆนั้น ได้ฉุดหุ้นกลุ่มส่งออกดิ่งลงด้วย อย่างไรก็ตาม ดัชนีนิกเกอิปรับตัวลงในกรอบจำกัด เพราะตลาดได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรปิดลดลง 65.93 จุด ที่ 18,910.78 จุด
+++ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดวันนี้ปรับตัวลดลง ตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ หลังจากราคาน้ำมันดิบดิ่งลง 1.5% อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ ดัชนีฮั่งเส็งลดลง 16.67 จุด ปิดวันนี้ที่ 23,331.57 จุด
+++ลินน์ มาลูฟ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยขององค์การนิรโทษกรรมสากล สาขาเบรุต เลบานอนว่าในช่วงดึกๆ บรรดานักโทษซีเรียได้รับการแจ้งให้ทราบว่าพวกเขาจะถูกเคลื่อนย้าย พวกเขาถูกปิดตาแล้วเคลื่อนย้ายจากเรือนจำของพวกเขาไปยังเรือนจำลับแห่งหนึ่งชื่อเซย์ด์นายา ทางตอนเหนือของกรุงดามัสกัส เจ้าหน้าที่เรือนจำไม่ได้แจ้งให้พวกเขาทราบว่าขั้นตอนต่อไปจะทำอย่างไรคือส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาจนกระทั่งเริ่มรู้สึกว่ามีเชือกมาคล้องอยู่รอบๆคอของพวกเขา รายงานล่าสุดขององค์การนิรโทษกรรมสากลเรื่องสถานที่ฆ่าคนระบุว่ามีการสังหารนักโทษเป็นกลุ่มๆละ 50 คน 2 ครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ องค์การนิรโทษกรรมสากลประเมินว่านักโทษราว 13,000 คนอาจจะถูกสังหารที่เรือนจำดังกล่าว ตัวเลขนั้นเป็นผลจากการสอบสวน รวมถึงการสัมภาษณ์พยาน 84 คน เช่นเจ้าหน้าที่เรือนจำ นักโทษ ผู้พิพากษาและทนายความ เพิ่มเติมว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพลเรือนที่มีแนวคิดต่อต้านรัฐบาลซีเรีย