หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตอบคำถามที่ว่าหลังจากที่ผู้นำกลุ่มบีอาร์เอ็นได้เสียชีวิตลงสถานการณ์ความไม่สงบจังหวัดชายแดนใต้ จะมีการพูดคุยเรื่องกำหนดพื้นที่ปลอดภัยต่ออย่างไร โดยนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ได้มีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องในการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งถือว่าดีขึ้นและมีความก้าวหน้า ขณะเดียวกันรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาความรุนแรง ซึ่งสะท้อนว่ารัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนกรณีที่ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เดินหน้าเสนอกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริม จริยธรรมและมาตรฐาน วิชาชีพสื่อมวลชน นายกรัฐมนตรี ประเทศเราจำเป็นต้องมีสภาวิชาชีพสื่อ เป็นการกำหนดมาตรฐานเนื่องจากมีปัญหาในการควบคุมสื่อกันเองไม่ได้ ซึ่งทุกอาชีพก็จะต้องมีสภาวิชาชีพเช่นกัน โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นการควบคุมหรือปิดกั้น จำกัดการนำเสนอข่าว ซึ่งในสภาวิชาชีพสื่อ ก็มีทั้งคณะกรรมการที่มาจากข้าราชการ สื่อมวลชน และภาคส่วนอื่นๆ จึงขออย่าอย่าหวาดระแวงว่ารัฐบาลจะสั่งปิดหรือไม่ปิดสื่อ เพราะอำนาจรัฐไม่สามารถแทรกแซงได้
สำหรับกรณีองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้ลงนามรับรถเมล์เอ็นจีวี 390 คัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจากการตรวจสอบแล้วรัฐบาลไม่ได้มีการตรวจรับรถเมล์ดังกล่าว ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง และการเลี่ยงภาษี โดยหลังจากนี้รัฐบาลก็จะต้องดำเนินการโครงการจัดซื้อใหม่ เพื่อป้องกันการทุจริต
ในประเด็นคนไทยถูกหลอกไปขายแรงงานผิดกฎหมายที่มาเลเซีย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้สั่งการไปแล้วซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการประสานงานของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าต้นทางการค้ามนุษย์อยู่ในประเทศไทยหรือมาเลเซีย แต่สำหรับสถานการณ์การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทย นายกรัฐมนตรีระบุว่า ดีขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งรัฐบาลได้แก้ปัญหาในอย่างยั่งยืน โดยแก้ทั้งระบบไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการ นายหน้า และเหยื่อ
นากยกรัฐมนตรีกล่าวถึงข้อเสนอที่สนับสนุนการแก้กฎหมายสุราปี 2543 ว่า ต้องมีกฎหมายเพื่อควบคุม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบซึ่งที่ผ่านมาก็การทำสุราพื้นบ้าน โดยรัฐบาลไม่ได้ห้ามให้มีการลงทุน และไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่ต้องมีกฎหมายควบคุม ถึงอันตราย ความปลอดภัย และเรื่องเรื่องสาธารณสุข เพื่อความเชื่อมั่น ไม่เกิดเกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค