อิหร่าน ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ประเทศมุสลิมที่ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่มีคำสั่งห้ามพลเมืองเข้าประเทศออกมาตำหนินโยบายดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านออกแถลงการณ์ระบุว่านโยบายดังกล่าว แม้จะเป็นคำสั่งชั่วคราวที่มีผลบังคับใช้เพียง 3 เดือน แต่ก็ถือว่าเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของชาวมุสลิมทั่วโลก รวมทั้งชาวอิหร่านด้วย นอกจากนั้นยังเชื่อว่าคำสั่งดังกล่าวยังเป็นเหมือนของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง
ด้านนายเดวิด มิลิแบนด์ ประธานและซีอีโอคณะกรรมการช่วยเหลือสากล ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและผู้ลี้ภัยเห็นว่าคำสั่งระงับการอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยเดินทางเข้าสหรัฐฯ เป็นระยะเวลา 120 วันเป็นสิ่งที่อันตรายและบ้าบิ่นเกินไป พร้อมระบุด้วยว่าโครงการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยของสหรัฐฯ ทำให้การเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ ในสถานภาพผู้ลี้ภัยยากลำบากมากกว่าสถานภาพอื่นๆ เพราะผู้ลี้ภัยต้องเข้ากระบวนการตรวจสอบอย่างละเอียด และทำให้ต้องใช้เวลานานมากกว่า 2 ปี ก่อนจะย้ำในตอนท้ายว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มก่อการร้าย หากแต่เป็นผู้ที่กำลังเดือดร้อนจากสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่มีจำนวนผู้ลี้ภัยมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา สหรัฐฯ จึงควรยึดมั่นในหลักการเป็นความหวังให้แก่คนไร้ที่พึ่ง ขณะที่องค์การสากลเพื่อการอพยพและสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซีอาร์แสดงความวิตกต่อคำสั่งการระงับการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ ของผู้ลี้ภัย โดยระบุว่าผู้ลี้ภัยทุกชาติและศาสนาควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งด้านการปกป้องอันตราย การให้ความช่วยเหลือ และแม้แต่โอกาสในการตั้งถิ่นฐานใหม่
ขณะเดียวกัน นายอาเบด อายูบ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายและนโยบาย คณะกรรมการต่อต้านการเลือกปฏิบัติอเมริกัน-อาหรับ กล่าวว่าคำสั่งนี้ส่งผลให้เกิดความโกลาหลขึ้น ซึ่งกลุ่มของเขากำลังดำเนินการเรียกร้องให้คนทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าวรวมตัวกันเพื่อตอบโต้รัฐบาลสหรัฐฯ
สำหรับ 7 ประเทศที่ถูกสั่งห้ามเข้าสหรัฐ ประกอบด้วย อิรัก อิหร่าน เยเมน ซีเรีย โซมาเลีย ลิเบียและซูดาน คาดว่า เป็นประเทศที่เป็นฐานที่มั่นของกลุ่มรัฐอิสลามหรือ ไอเอส
**10.02F174**