หลังการลงพื้นที่ตรวจสภาพการจราจรบริเวณแยกรัชโยธิน ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง พลตำรวจโทวิทยา ประยงค์พันธ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สภาพการจราจรตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค. จนถึงวันนี้เริ่มดีขึ้น แต่ยังคงมีการจราจรที่สะสมอยู่ในบางช่วง จึงจำเป็นเพิ่มแผนการเดินรถ โดยงดการเลี้ยวขวา บริเวณแยกรัชโยธิน เพื่อปล่อยช่องทางขาเข้าและขาออก ไปพร้อมกัน ซึ่งรถที่มาจากถนนรัชดาภิเษกขาเข้า และต้องการเลี้ยวขวาไปทางแยกลาดพร้าว จะต้องเลี้ยวซ้ายเพื่อไปกลับรถบริเวณซอยพหลโยธิน 35 ส่วนรถที่มาจากถนนรัชดาภิเษกขาออก ต้องการจะเลี้ยวเข้าถนนพหลโยธิน เพื่อไปทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะต้องไปกลับรถบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวรนาถ พร้อมปรับลดสัญญานไฟจราจร จาก 4 จังหวะ เหลือ 2 จังหวะ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการระบายรถ โดยจะเริ่มทดลองตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 ม.ค.นี้ และคาดว่าจะเห็นผลการทดลองอย่างชัดเจนในวันจันทร์ที่ 30 ม.ค. ทั้งนี้จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรคอยอำนวยความสะดวก ในช่วงเวลาเร่งด่วนให้กับประชาชน
ด้านพลตำรวจตรีจิรพัฒน์ ภูมิจิต รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ด้านงานจราจร เปิดเผยว่า ในช่วง 3 วัน หลังเปลี่ยนรูปแบบถนนแยกรัชโยธินเป็นวงเวียน ผลการดำเนินงานพอใจการแก้ปัญหาระดับหนึ่ง โดยการจราจรมีความคล่องตัวมากขึ้น จากวันแรก สำหรับเรื่องการห้ามเลี้ยวขวานั้น คาดว่าจะทำให้การจราจรบริเวณแยกรัชโยธินดีขึ้น หลังจากนี้จะลดขนาดวงเวียนช่วงการขุดเจาะอุโมงค์กลางแยกรัชโยธินให้เล็กสุด เพื่อเพิ่มช่องทางการเดินรถ
ส่วนนายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้อำนวยการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต –สะพานใหม่-คูคต กล่าวว่า การดำเนินงานครั้งนี้ ทาง รฟม. กับ เจ้าหน้าด้านงานจราจรได้หารือกันต่อเนื่องมาตลอด ส่วนสาเหตุที่จะต้องปรับรูปแบบถนนเป็นวงเวียน เนื่องจากหลังจากรื้อสะพานข้ามแยกรัชโยธินแล้ว ต้องทำการขุดอุโมงค์ จึงต้องล้อมพื้นที่โดยรอบ โดยใช้เวลา 3-4 เดือน หลังจากนั้นจะคืนพื้นที่การจราจรอย่างเดิม ให้รถสามารถวิ่งได้ตามปกติ และเริ่มดำเนินการก่อสร้างทางลอดอุโมงค์ ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้ว ร้อยละ 20 ทั้งการลงฐานราก ขึ้นเสาตอหม้อ ก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง ยอมรับว่ามีอุปสรรคบางในบางประการ แต่ก็ยืนยันจะพยายามบริหารพื้นที่ให้ดีที่สุด และดำเนินการก่อสร้างให้เสร็จตามสัญญา ปี 2562 พร้อมเปิดใช้บริการให้ทัน ในปี 2563 ตามกำหนด