สรุปข่าว 19.35 น.
+++ผลการประชุมแบบบูรณาการงานพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายภาณุ อุทัยรัตน์ โฆษกคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล แถลงผลการประชุมแบบเต็มคณะ ครั้งที่ 3 ว่า ภารกิจสำคัญคือการบูรณาการของหน่วยฏิบัติงานในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนด้านการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จะเน้นแก้ปัญหายาเสพติด เพราะเป็นปัญหาอันดับ 1 ในพื้นที่ ส่วนด้านกระบวนการยุติธรรม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) จะจัดซื้อเครื่อง CT Scan จำนวน 1 เครื่อง มูลค่าราว 20 ล้านบาท ใช้ในงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ เนื่องจากที่ผ่านมาจะประสบปัญหาในการผ่าพิสูจน์ศพผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม โดยจะส่งมอบ CT Scan ให้กับ. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้จะเน้นย้ำให้ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ปฏิบัติตามกฎหมายและสนธิสัญญาต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น ในส่วนของทหารมีหลักปฏิบัติ 12 ข้อ
+++ด้านพล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รายงานที่ประชุมว่ายังมีการพูดคุยกับกลุ่มผู้เห็นต่าง และในครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นภายในสิ้นปีนี้ และได้ยืนยันว่าไม่ปรับปลี่ยนสภาองค์กรนำของกลุ่มบีอาร์เอ็น โดยยังคงเป็นคนกลุ่มเดิม ส่วนกระเเสข่าวจะนำคนไทย 200 คนที่หลบหนีคดีความมั่นคงไปอยู่ที่มาเลเซีย กลับมาเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน และร่วมแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ นายภาณุ กล่าวว่า ได้รับการติดต่อมาจริง โดยให้ญาติฝ่ายไทยแจ้งกับนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไม่ขอระบุจำนวน แต่มากพอสมควร ซึ่งรัฐพร้อมเปิดโอกาส และถือเป็นความสำเร็จของโครงการนี้ เพราะตั้งแต่ปี 2558 ที่เริ่มเปิดโครงการ มีจำนวนคนเข้าร่วมกว่า 5,000 คนแล้ว และได้มอบหมายให้นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศอ.บต.เป็นคนประสาน เช่น. ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมา อดีตประธานขบวนการร่วมเพื่อเอกราชปัตตานี(เบอร์ซาตู) ได้ประสานกับเลขาธิการศอ.บต.เพื่อขอเข้ามาร่วมแสดงความไว้อาลัยด้วย
+++รายงานข่าวจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งถึงความคืบหน้าการไต่สวนนายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง กรณีร่ำรวยผิดปกติ มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท ว่า ขณะนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายสาธิต ฐานร่ำรวยผิดปกติแล้วและส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ดำเนินการส่งฟ้องต่อศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินต่อไปก่อนหน้านี้ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และชี้มูลความผิดทางอาญากับนายสาธิต และนายศุภกิจ ริยะการ อดีตสรรพากรพื้นที่กรุงเทพฯ 22 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีทุจริตคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 4.3 พันล้านบาท โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบพบว่า นายสาธิต ได้รับผลประโยชน์โดยได้เงินที่บริษัทเอกชนขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวนประมาณ 179 ล้านบาท ไปซื้อทองคำแท่ง และนายสาธิต เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทองคำแท่งดังกล่าวด้วย ซึ่งไม่ปรากฏในบัญชีทรัพย์สินที่ต้องยื่นต่อ ป.ป.ช. ก่อนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะไต่สวนเพิ่มเติมและพบว่ามีทรัพย์สินมูลค่าทั้งหมดประมาณ 600 ล้านบาท และสั่งอายัดทั้งหมด ปัจจุบันนายสาธิตถูกไล่ออกจากราชการแล้ว คณะกรรมการป.ป.ช.ยังได้มีมติให้ส่งข้อมูลของบุคคลรายหนึ่งซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวข้อง ในคดีทุจริตคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 4.3 พันล้านบาท ไปให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อดำเนินการสอบสวนเส้นทางการเงินด้วย
+++นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ราคาข้าวเปลือก ที่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งส่วนใหญ่ปลูกข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียวนั้น ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ตันละ 10,500-11,000 บาท จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ตันละ 8,000-8,500 บาท ซึ่งการปรับตัวดีขึ้นของราคา เป็นผลจากมาตรการรับจำนำยุ้งฉางของรัฐบาล ประกอบกับกระทรวงพาณิชย์เร่งผลักดันการส่งออก รวมถึงหลายหน่วยงานช่วยกันสั่งซื้อข้าวโดยตรงจากกลุ่มเกษตรกร และสหกรณ์ จึงทำให้ปริมาณข้าวในตลาดลดลงมาก ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มราคาข้าวจะสูงขึ้นได้อีกแน่นอน
ด้านนายวิชัย ศรีนวกุล อดีตอุปนายกสมาคมโรงสีข้าวไทย และประธานชมรมโรงสีข้าวภาคอีสาน กล่าวว่า ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิในสัปดาห์นี้ยังทรงตัวต่อจากสัปดาห์ก่อน โดยวิตกว่าราคาอาจลดลงได้อีก เพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนจากร้อนสลับฝนตก ทำให้คุณภาพข้าวเปลือกด้อยลง ขณะที่นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ อดีตเลขาธิการสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ราคาข้าวทุกชนิดปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่ราคาได้ลงไปถึงจุดต่ำสุดแล้ว เห็นว่ารัฐบาลควรเร่งหาตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ เพราะข้าวชนิดอื่นมีตลาดในประเทศรองรับอยู่แล้ว
+++ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 1,490.11 จุด ลดลง 6.25 จุด มูลค่าการซื้อขาย 33,752.37 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยวันนี้เป็นลักษณะซึม นักลงทุนคงจะ ยังรอดูเนื่องจากได้รับแรงกดดันจากเงินทุนไหลออกจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง และเงินบาทก็อ่อนค่าด้วย โดยนักลงทุนได้โยกเงินกลับสหรัฐฯ อันเป็นผลจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ อย่างน้อยก็ล็อคความเสี่ยงในด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (FX) ก่อน
+++ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ ทำสถิติปิดบวกติดต่อกัน 6 วันทำการ หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กทำสถิติสูงสุดติดต่อกัน 3 วันทำการเมื่อคืนนี้ นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐยังส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มส่งออกดีดตัวขึ้นด้วย ดัชนีนิกเกอิปิดพุ่งขึ้น 170.47 จุด ที่ 18,333.41 จุด
+++ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดวันนี้ปรับตัวลดลง จากแรงขายหุ้นบริษัทสำรวจพลังงานและบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า หลังจากรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ย.ของเฟดบ่งชี้ว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่สนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ดัชนีฮั่งเส็งลดลง 68.20 จุด ที่ 22,608.49 จุด