นายกฯยันมีมาตรการรับนโยบายทรัมป์/ กตต.จะตั้งหน่วยข่าวสอบซื้อขายตำแหน่งทางการเมือง/กทม.ประชุมเร่งรัดเบิกจ่ายงบฯ เน้นโปร่งใส

11 พฤศจิกายน 2559, 18:34น.


+++การเดินทางตรวจเยี่ยมการบริหารงานของกระทรวงการคลัง  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมรับนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ว่ารัฐบาลได้เตรียมมาตรการรับมือความผันผวนจากนโยบายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯแล้ว เชื่อว่า จะสามารถรับมือได้ แต่ต้องรอความชัดเจนของนโยบายของผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ก่อน และขออย่าเพิ่งตกใจหรือตื่นตระหนกในเรื่องการส่งออก เพราะไทยไม่ได้ค้าขายกับสหรัฐฯเพียงประเทศเดียว รัฐบาลดำเนินแนวทางเศรษฐกิจ โดยเปิดตลาดและทำการค้ากับประเทศต่าง ๆ ทุกระดับ



+++พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายช่วยชาวนาขายข้าวว่า เป็นเรื่องดี แต่อยากสร้างความเข้าใจว่าการรับซื้อข้าวจากชาวนาโดยตรงมาขายต่ออย่างที่ทำในขณะนี้ เป็นการขายข้าวได้เพียงร้อยละ 5 ของข้าวที่มีอยู่ในตลาด หากอยากช่วยเพิ่มต้องช่วยรับซื้อข้าวจากโรงสีด้วย ในส่วนตัวเห็นใจทุกฝ่ายแต่อย่านำนายกฯไปเป็นคู่ขัดแย้งกับชาวนา ขอให้เข้าใจสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่เกี่ยวกับการช่วยเหลือที่ทำให้ชาวนาเกิดความยั่งยืน ทั้งการลดพื้นที่ปลูกข้าวแต่ได้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพ และการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชตามคำแนะนำของรัฐบาล หากทำตามจะแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรที่ตกต่ำได้อย่างยั่งยืน



+++แนวคิดของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ที่จะเพิ่มอำนาจ กกต.ในการตรวจสอบการซื้อขายตำแหน่งทางการเมือง นายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวว่า การกำหนดโทษในการซื้อขายตำแหน่งในทางการเมือง จะมีการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เห็นว่ามีความเหมาะสมแล้ว เมื่อมีการซื้อขายตำแหน่งต่างๆ ก็ควรได้รับโทษอย่างรุนแรง ซึ่งจะไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ตลอดชีวิต ถือเป็นโทษประหารชีวิตทางการเมือง แต่การซื้อขายตำแหน่งนั้นผู้ซื้อกับผู้ขายจะรู้กันอยู่แค่ 2 คน คนให้กับคนรับ คนอื่นก็จะไม่ทราบได้ ฉะนั้นเรื่องการหาหลักฐานจึงทำได้ยากมาก เพราะไม่มีพยานรู้เห็น แต่ถ้าจะเอาจริงๆ ก็ตรวจสอบได้ตรวจสอบทุกตำแหน่งว่ามีการให้เงินจริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีการพูดกัน แต่ไม่มีหลักฐานมาแสดง ทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวถึงได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ลำบาก  กกต.ได้พูดคุยถึงเรื่องนี้ โดยจะมีการตั้งหน่วยข่าวที่เหมือนกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รวมทั้งพัฒนาพนักงานสืบสวนสอบสวนของ กกต.ให้ดีขึ้น



+++การติดตามตรวจสอบการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2560 นางวรรณวิไล พรหมลักขโณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. ได้เชิญทีมรองผู้ว่าฯ กทม. นายภัทรุตม์ ทรรทรานนท์ ปลัดกทม. นายกฤษฎา ศิริพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักการคลัง ประชุมร่วมกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยได้มีการหารือการทำงานด้านงบประมาณร่วมกัน โดยเฉพาะงบประมาณประจำปี 2560 ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) จะให้ความร่วมมือในการเข้ามาดูแลช่วยเหลือการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2560 ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้และเกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด



+++ทั้งนี้ สตง. มีความกังวลในการรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณของกทม. เนื่องจากมีความล่าช้า จึงได้ขอให้กทม.เร่งรัดรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณให้เร็วขึ้น ซึ่งปัจจุบันกทม.ได้ส่งรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปี 2557 และ 2558 ไปแล้ว ส่วนรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2559 ยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้นสตง.จึงให้กทม.ส่งรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2559 และ 2560 มาพร้อมกัน



+++การลงทุนในตลาดหุ้นไทย  ปิดตลาดที่ 1,494.53 จุด ลบ 19.73 จุด มูลค่าซื้อขาย76,733.46 ล้านบาท เนื่องจาก นักลงทุนวิตกกังวลนโยบายด้านการคลังและเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ที่ทำให้กระแสเงินทุนหรือฟันด์โฟลว์ไหลออกจากภูมิภาคไปลงทุนในตลาดสหรัฐฯ +++ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ญี่ปุ่น ปิดบวกในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อคืน เนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งภายใต้การบริหารประเทศของนายทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่



+++ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดลบในวันนี้ เนื่องจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ จากกังวลสถานการณ์ความไม่แน่นอนหลังจากนายทรัมป์ ได้รับชัยชนะ ลดลง 18.17 จุด ปิดที่ 1,984.43 จุด



+++เช่นเดียวกับ ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดร่วงลง 308.02 จุด ปิดที่ 22,531.09 จุด



+++ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีน ปิดตลาดวันนี้ปรับตัวสูงขึ้น ขานรับรายงานที่ว่า คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) ได้อนุมัติโครงการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรจำนวน 15 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนสูงถึง 2.188 แสนล้านหยวน (3.22 หมื่นล้านดอลลาร์) ในเดือนต.ค. ปรับตัวขึ้น 24.76 จุด ปิดที่ 3,196.04 จุด



+++คดีอาชญากรรม กรณีกลุ่มนักเรียนอาชีวะช่างยนต์วิทยาลัยการอาชีพพระสมุทรเจดีย์ รวม 6 คน ใช้อาวุธมีดดาบฟันใต้เบ้าตาของนายเอกรินทร์ ถุระพัฒน์ อายุ 19 ปี พนักงานบริษัท ไทยแลนด์ไอออนเวิลด์ จำกัดย่าน อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส พ.ต.อ.อนันต์ ชัยชาญ ผกก.สภ.พระสมุทรเจดีย์ กล่าวว่า มีผู้ปกครองได้นำตัวเด็กนักเรียนอาชีวะ ที่ร่วมกันก่อเหตุ มามอบตัวกับตำรวจเพิ่มอีก 2 คน จากเดิม 4 ครบ รวมครบทั้ง 6 คนที่ได้ร่วมกันก่อเหตุ สอบสวนเบื้องต้นทราบว่าเมื่อ 3-4 วันก่อนหน้านี้มีนักเรียนอาชีวะสถาบันคู่อริได้พาพวกมาปาระเบิดที่หน้าสถาบัน จึงเกิดความโมโหอยากจะล้างแค้นพอเห็นนายเอกรินทร์ ใส่เสื้อช็อปขับรถจักรยานยนต์สวนมานึกว่าเป็นสถาบันคู่อริจึงได้ร่วมกันก่อเหตุ



+++ พ.ต.อ.วัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ  ขอให้มีการพิจารณาตั้งคณะกรรมการสอบอาจารย์ฝ่ายปกครองและสถานศึกษาว่ามีการปล่อยปละละเลยให้เกิดเหตุหรือไม่รวมทั้งผู้ปกครองของผู้ต้องหาที่เป็นกลุ่มนักเรียนก่อเหตุทั้ง 6 คน ต้องรับโทษตามคำสั่งคณะรักษาความสบสงบแห่งชาติ(คสช.)ด้วย



+++หลังนายกรัฐมนตรีนาเรนทรา โมดีของอินเดีย แถลงยกเลิกธนบัตรรูปี 2 รุ่นคือใบละ 500 รูปีและ 1,000 รูปี ตามแผนแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น,การเลี่ยงภาษีและการปลอมธนบัตรที่แพร่ระบาดในตลาดมืด ส่งผลให้ธนาคารกลางอินเดีย สั่งปิดธนาคารทั่วประเทศ 1 วันเมื่อวันพุธ เพื่อเปิดโอกาสให้ธนาคารเตรียมธนบัตรรุ่นใหม่พร้อมรับแลกจากลูกค้าแต่เมื่อธนาคารเปิดทำการอีกครั้งตั้งแต่วานนี้  โดยคนที่แลกรุ่น 500 รูปีจะได้รุ่นใหม่ไปที่มีระบบป้องกันการปลอมแปลงดีกว่าเดิม ส่วนคนที่แลกรุ่น 1,000 รูปี จะได้เงินสดกลับมา เพราะยกเลิกไปเลย และทางการพิมพ์เพิ่มรุ่น 2,000 รูปีเพิ่ม เพื่อให้ประชาชนแลก ซึ่งเป็นรุ่นที่มีระบบป้องกันการปลอมแปลงดีกว่าเดิมเช่นกัน ทั้งนี้ระยะเวลาที่ธนาคารให้แลกคือ 10พ.ย. -30 ธ.ค.



+++ชาวอินเดียหลายพันคนที่รู้สึกหวั่นวิตก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย,พ่อค้าและผู้ฝากเงินรายย่อยที่ต้องใช้เงินสดในการจับจ่าย ซื้อสินค้าหรือค้าขายในแต่ละวัน ได้เข้าแถวยาวด้านนอกสาขาธนาคารทั่วประเทศเพื่อนำธนบัตรเก่ามาแลกใหม่ บรรยากาศการเข้าแถวเพื่อแลกธนบัตรใหม่ยังคงต่อเนื่องมาถึงวันนี้ ธนาคารหลายแห่งต้องเปิดทำการล่วงเวลา หรือเพิ่มจำนวนพนักงานธนาคารมาช่วยรับมือกับการเบิกถอนเงินสดจากธนาคารมากกว่าปกติในช่วงนี้



+++นอกจากนั้นตู้เอทีเอ็มของธนาคารในเมืองใหญ่ๆเช่น นครมุมไบและกรุงเดลี มีเงินสดไม่เพียงพอให้บริการ ตู้เอทีเอ็มหลายแห่งต้องปิด บางแห่งรับเฉพาะเงินฝาก แต่จะไม่อนุญาตให้ลูกค้าเบิกถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มในระยะนี้ ก่อนหน้านี้ตู้เอทีเอ็มต่างๆเพิ่งกลับมาเป็นให้บริการอีกครั้งตั้งแต่เที่ยงคืนวานนี้ หลังปิดชั่วคราว 48 ชม.เพื่อให้ธนาคารมีเวลาเตรียมความพร้อม แต่ก็ยังเกิดปัญหามีธนบัตรรุ่นใหม่ไม่เพียงพอดังกล่าว สำหรับธนบัตรรุ่นใหม่ที่จะใช้แทนรุ่นเก่าคือ ใบละ 2,000 รูปีและ 500 รูปี ที่มีระบบป้องกันการปลอมแปลงดีกว่าเดิม



CR:คลังภาพ ทำเนียบรัฐบาล



 



 



 



 

ข่าวทั้งหมด

X