สรุปข่าวเด่น:ปธ.หอการค้าไทย เชื่อทรัมป์ไม่ปิดประตูการค้าต่างประเทศ/ทูตสหรัฐประจำไทย เชื่อเปลี่ยนผู้นำใหม่ไม่กระทบนโยบาย

09 พฤศจิกายน 2559, 18:26น.


สรุปข่าว19.35น.



+++ นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กล่าวเปิดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ระหว่างวันที่ 6 - 12 พ.ย.นี้ ว่า การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ครั้งนี้ จัดขึ้นในห้วงเวลาสำคัญของประเทศไทย เนื่องจากเป็นช่วงที่บ้านเมืองกำลังเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ การที่เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ได้รับทราบถึงสถานการณ์ พัฒนาการ ทิศทาง และแนวทางในการปฏิบัติ จะเป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่ ให้มีประสิทธิผล วัตถุประสงค์สำคัญที่กระทรวงการต่างประเทศกำหนดไว้ คือ การให้เอกอัครราชทูตได้รับทราบแนวทางของรัฐบาลในระยะต่อไปหลังรัฐธรรมนูญใหม่มีผลบังคับใช้ ซึ่งเป็นการเดินหน้าตามโรดแมป   ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามตินี้เป็นฉบับปฏิรูปน่าจะเป็นประโยชน์ที่เอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ รวมทั้งผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศ จะได้รับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะด้านกฎหมายและการบริหารราชการ เป็นโอกาสที่จะระดมสมองเกี่ยวกับทิศทางในการต่างประเทศของไทย



++++ที่บ้านพักเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ถนนวิทยุ นายกลิน ที เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และนางแจ็คเกอลีน เดวีส์ ภริยา ได้จัดงาน United States Presidential Election Watch เพื่อถ่ายทอดสดการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันนี้(9 พ.ย.) ตามเวลาในไทย พร้อมกับเป็นการบรรยายให้ความรู้แก่นิสิต นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่มาร่วมงาน รวมถึงได้เชิญเอกอัครราชทูตจากประเทศต่างๆที่ประจำการในไทยมาร่วมงานนี้ด้วย ทั้งนี้ นายเดวีส์ กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯกับประเทศไทย เพราะความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 ประเทศถูกสร้างขึ้นมาตลอดหลายสิบปี ผ่านองค์กรทางเศรษฐกิจจำนวนมาก ทั้งจากฝ่ายสหรัฐฯและในประเทศไทย โดยมีบริษัทในหอการค้าอเมริกันกว่า 800 บริษัทที่มาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก และมีบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนระยะยาวในไทยหลายบริษัท รวมถึงมีความตั้งใจจะให้เป็นอย่างเดิมต่อไป เนื่องจากประเทศไทยมีความเข้มแข็งและมีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจหลายประการ อาทิ ทรัพยากร และประชากรที่มีการศึกษา ภูมิศาสตร์ที่อยู่ใจกลางภูมิภาคอาเซียน และมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นในฐานะพันธมิตรมายาวนานหลายชั่วอายุคน และจะยังคงเข้มแข็งเช่นเดิม และงานของเอกอัครราชทูตคือเน้นย้ำให้รัฐบาลสหรัฐเสริมความเข้มแข็งในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนต่อไป



+++ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนยังมีกังวลต่อนโยบายการค้า เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนแปลงและหวือหวามากขึ้น แต่เชื่อว่าทรัมป์เป็นนักธุรกิจพ่อค้ามาก่อน การกำหนดนโยบายไม่ได้มองเพียงด้าน ดังนั้น ปัญหาที่เป็นความขัดแย้งในบางเรื่อง คนเคยทำธุรกิจ อาจจะหาทางคิดหนทางแก้ปัญหาที่เป็นความคิดริเริ่มแบบใหม่ แม้จะมองผลประโยชน์ของคนอเมริกันเป็นหลัก  ผู้ประกอบการไทยจะต้องปรับปรุงตนเองให้มีความเข้มแข็ง หากสหรัฐจะเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า คงจะดำเนินการแบบค่อยๆ เปลี่ยน พร้อมกับหาตลาดส่งออกใหม่ๆ เช่น แอฟริกา อิหร่าน ปากีสถาน   ส่วนการจะยกเลิกทีพีพีหรือไม่นั้น ไทยคงไม่ต้องกังวลเรื่องทีพีพี เพราะทรัมป์ประกาศแล้วว่าจะไม่สนับสนุนทีพีพี ทุกอย่างก็เหมือนเดิม และการค้า การส่งออก ยังคงดำเนินไปตามปกติ ส่วนตัวเห็นว่าคงยากที่สหรัฐฯ จะไม่ซื้อของจากไทย หรือปิดประตูขังตัวเอง และไทยส่งออกไปสหรัฐฯเพียง 10% เท่านั้น มองว่าไม่น่าจะกระทบต่อการส่งออกไทยมากนัก



+++นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เตรียมเสนอเพิ่มเงินเดือนให้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า กรธ.ไม่ได้เป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่าเงินเดือนของผู้บริหารประเทศไทยถ้าเทียบกับต่างประเทศต้องถือว่าของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำ ทำให้ข้าราชการประจำหรือข้าราชการตุลาการไม่สามารถขึ้นเงินเดือนได้ แต่หากเศรษฐกิจก็ดีขึ้นพอที่จะจ่ายเงินให้สมน้ำสมเนื้อและจะลงโทษคนขี้โกงรุนแรงอย่างไรก็ว่าไป อย่างน้อยคนที่ตั้งใจทำงานและไม่คิดคดโกงเขาจะได้อยู่ได้ และเป็นการรักษาคนดีเอาไว้ ถ้าจะขึ้นก็อย่าขึ้นให้กับตัวเองแต่ขึ้นไว้สำหรับรัฐบาลต่อไป



+++นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) เปิดเผยว่า ตามกฎหมายได้ให้อำนาจลูกเรือและกัปตันในการดูแลความปลอดภัยบนเครื่องบิน หากมีการประกาศขอความร่วมมือผู้โดยสารให้ปฏิบัติตามในลักษณะต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้โดยสารเองและภาพรวมความปลอดภัยบนเครื่องบิน ผู้โดยสารก็ต้องปฏิบัติตาม โดยไทยมีกฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 ให้อำนาจดูแลอยู่ในเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องใช้กันทั่วโลก  มาตรา 7 ได้มีการระบุความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 ว่า ผู้อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบินผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของ ผู้ควบคุมอากาศยานหรือเจ้าหน้าที่ประจําอากาศยานซึ่งสั่งในนามผู้ควบคุมอากาศยาน ที่เป็นคําสั่งเพื่อ รักษากฎ ระเบียบ และความเรียบร้อยในอากาศยาน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับถ้าการกระทําตามวรรคหนึ่ง เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่ง ที่สั่งเพื่อให้เกิดความปลอดภัย แก่อากาศยานหรือแก่บุคคลหรือทรัพย์สินในอากาศยาน ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ



+++ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 1,509.43 จุด ลดลง 0.41 จุด มูลค่าการซื้อขาย 93,328.59 ล้านบาท

ข่าวทั้งหมด

X