หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือชาวนา ว่าล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรมได้รายงานมาว่าได้ให้ความช่วยเหลือกว่า 600 ตัน ขณะที่รัฐบาลได้ช่วยเหลือเกษตรกรทุกจังหวัดทั่วประเทศไม่ใช่เพียง 23 จังหวัด ขณะเดียวกันก็จะต้องมีการช่วยเหลือเกษตรกรทั้งระบบ เพราะการนำเงินมาดำเนินการจำนวนมากต้องดูข้อกฎหมาย และถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ดังนั้นจะเกษตรกรต้องมีการรวมกลุ่มกันเองและสร้างความเข้มแข็งให้มากขึ้น นอกจากนั้น ยังได้หามาตรการในการแก้ปัญหาข้าวโพด โดยหามาตรการที่เหมาะสมและนำเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาใยสัปดาห์หน้า ซึ่งขอยืนยันว่าจะไม่ทอดทิ้งใครอย่างแน่นอน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ ว่า เป็นความก้าวหน้าในการพัฒนาเรื่องของการพูดคุย ซึ่งไม่อยากให้มีการแถลงทุกครั้งในการพูดคุยเพราะอาจทำให้เกิดความกดดัน จึงขอให้เป็นหน้าที่ของกลุ่มพูดคุยซึ่งมีหลายกลุ่มงาน หากไปขยายความและติติงเจ้าหน้าที่ไปเรื่องก็จะเกิดเหตุอยู่แบบนี้ เพราะไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ ขณะนี้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาตใต้ (ศอ.บต.) ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาทำงานไปด้วยกันร่วมกับกระทรวง โดยได้ตั้งครม.ส่วนหน้าไปดูแลแล้วถ้าหากทำงานไม่สอดคล้องก็จะให้รายงานกลับขึ้นมา อย่างไรก็ตามยืนยันว่าหน่วยงานต่างๆไม่ทำงานซ้อนทับหรือกดดันกัน รัฐบาลพยายามหาทางแก้ทุกทางส่วนการพูดคุยก็อยากให้คุยกันเงียบๆและขอให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย ซึ่งการหารือยังไม่ได้ข้อยุติ ถ้าจะให้แถลงก็อาจไม่เกิดประโยชน์
นายกรัฐมนตรียังฝากให้ประชาชนใช้สติ และยับยั้งชั่งใจ เห็นใจผู้อื่น หลังจากเกิดเหตุผู้ขับรถยนต์มินิคูเปอร์ ทำร้ายร่างกายคู่กรณีที่ขับรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนจนเกิดความเสียหาย ซึ่งนายกรัฐมนตรีระบุด้วยว่ากลัวเป็นแบบอย่างในทางที่ไม่ดี โดยต้องมีการดำเนินคดีไปตามกฎหมาย
ส่วนเหตุปาระเบิดข่มขู่เจ้าหน้าที่ทางหลวง จ.สระบุรี ว่า ได้สั่งเร่งติดตามหาตัวคนรับผิดชอบไม่มีการผ่อนผัน เพราะทำให้ถนนชำรุ เสียเงินมหาศาล ทุกอย่างจะต้องดำเนินการตามกรอบกฎหมาย พร้อมสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกวดขันเร่งแก้ปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกิน เพราะต้นเหตุทำถนนพัง ซึ่งต้องใช้งบประมานในการซ่อมแซมอย่างมหาศาล