กกต.ลงนามจัดทำระบบการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร นำร่อง3ประเทศใช้จริงปลายปีหน้า

การพัฒนาระบบลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ในวันนี้ มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การจัดทำระบบการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (i vote) โดยมีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และสำนักงานพัฒนาธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ องค์การมหาชน) ร่วมลงนาม

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า การพัฒนาระบบการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่อยู่ในต่างประเทศ พร้อมสร้างระบบที่มีความน่าเชื่อถือในสังคม และเพื่อประหยัดงบประมาณการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ที่ปกติแล้วต้องใช้งบประมาณ 60-80 ล้านบาทต่อครั้ง โดยจะเริ่มออกแบบและพัฒนาให้เสร็จสิ้นภายใน เดือนมิถุนายน ปี2560 และทำความเข้าใจกับประชาชนภายในเดือนสิงหาคม 2560 หากไม่มีอะไรผิดพลาด คาดว่าจะสามารถเริ่มใช้งานจริงในการเลือกตั้งปลายปีหน้า โดยจะนำร่องใน 3 ประเทศก่อน ได้แก่ จอร์แดน นอร์เวย์และเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากทั้ง 3 ประเทศมีประชากรไทยอาศัยอยู่ เป็นจำนวนน้อยประมาณ 3,000 คน 

ส่วนขั้นตอนเบื้องต้น จะให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งนอกอาณาจักรลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิ์ พร้อมมีคู่มือ จัดอบรมการใช้งาน หลังจากนั้นเมื่อใกล้ถึงวันลงคะแนนเสียงจะส่งข้อมูลผ่านแอพพลิเคชั่นที่สร้างขึ้นมาไปยังผู้ใช้บริการที่ลงทะเบียนไว้ โดยผู้ใช้สิทธิ์จะต้องแสดงหลักฐานเพื่อยืนยันตัวตน ทั้งนี้จะมีการกำหนดช่วงเวลาในการลงคะแนน หลังลงคะแนนเสร็จ ผลจะถูกส่งเข้ามายังระบบการเลือกตั้งในประเทศไทย ทั้งนี้จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ซ้ำซ้อน และสามารถใช้ได้เฉพาะผู้อยู่นอกราชอาณาจักรเท่านั้น สำหรับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นเพียงแค่ทางเลือกใหม่ที่เพิ่มเข้ามา แต่ประชาชนนอกราชอาณาจักรยังสามารถใช้การลงคะแนนด้วยวิธีอื่นๆ ได้เช่นเดิม แต่หลังจาก 5 ปีไปแล้ว อาจเป็นช่องทางที่บังคับใช้เพียงช่องทางเดียว โดยมั่นใจว่าการพัฒนาระบบครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ และขอให้ประชาชนทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมั่นในการพัฒนาระบบการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เพราะไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นประเทศแรก ยังมีหลายประเทศที่ดำเนินการไปแล้ว

ผู้สื่อข่าว:เกตุกนก ครองคุ้ม