กรมชลฯเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนป่าสัก/ที่ปรึกษารมว.กลาโหม เผยส่งทีมชุดใหญ่ไปฮาวาย/ผู้ค้าสยามตกลงกับกทม.ไม่ได้

06 ตุลาคม 2559, 19:50น.


+++หลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจดูสถานการณ์น้ำที่จ.พระนครศรีอยุธยาและชัยนาท พร้อมรับฟังผลกระทบจากประชาชนที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมท้ายเขื่อนเจ้าพระยา นายกรัฐมนตรี ได้เห็นพื้นที่แล้วพบว่าน้ำท่วมเฉพาะนอกคันกั้นน้ำ ส่วนในคันกั้นน้ำยังทำนาอยู่ ต้องรอให้เก็บเกี่ยวหมดจึงจะปล่อยน้ำได้ และเห็นว่า มาตรการที่ทำอยู่ยังเป็นเชิงรับ จึงขอให้ปรับเป็นเชิงรุก รวมถึงต้องคาดการณ์สภาพน้ำล่วงหน้าและแจ้งให้เกษตรกรทราบเพื่อเตรียมการเพาะปลูกก่อนถึงฤดูแล้งหน้า พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่รับน้ำหลากเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันที่ 11 ต.ค. และให้กรมชลประทานหาพื้นที่แก้มลิงเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพื่อให้มีพื้นที่รับน้ำหลากมากขึ้น และเก็บน้ำไว้ใช้ได้ช่วงหน้าแล้ง ซึ่งอาจใช้วิธีจัดซื้อ รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรฯและกระทรวงมหาดไทย จัดทำชุดความรู้สำหรับประชาชนและเกษตรกรเพื่อรับมือการเกิดอุทกภัย



+++ทั้งนี้ ขอให้กรมชลประทาน เฝ้าระวังปริมาณน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ขณะนี้ปล่อยน้ำเขื่อนนี้เพิ่มจากเดิมวันละ 40 ล้านลบ.ม. เป็นวันละ 50 ล้านลบ.ม. เพราะวันนี้ มีน้ำไหลเข้ามากถึง 55 ล้านลบ.ม. ซึ่งปัจจุบัน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีน้ำใช้การได้ 850 ล้านลบ.ม. เหลืออีก 107 ล้านลบ.ม. จะเต็มเขื่อน



+++ผลจากการปล่อยน้ำดังกล่าวทำให้น้ำท้ายเขื่อนพระรามหก อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ระบายเป็น 570 ลบ.ม.ต่อวินาที ยังไม่เกินค่าวิกฤติที่ 600 ลบ.ม.ต่อวินาที และระดับน้ำที่อ.ท่าเรือ สูงขึ้น 0.30 เมตร ยังไม่ท่วมตลิ่ง ขณะที่มีปริมาณน้ำที่อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เพิ่มเป็น 1,800 ลบ.ม.ต่อวินาที ยังไม่เกินค่าวิกฤติ 3,800 ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งไม่มีผลต่อกรุงเทพฯและปริมณฑล



+++ร.ต.ต.เกรียงศักดิ์ โลหะชาละ ประธานสภากรุงเทพมหานคร(กทม.) พร้อมคณะสมาชิกสภากทม. ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเขตดอนเมือง พร้อมสังเกตการณ์ระดับน้ำ สำนักงานชุมชนเปรมประชา และประตูระบายน้ำหลักหก ร.ต.ต.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า จะนำแผนการแก้ปัญหาน้ำท่วมระยะยาวในพื้นที่เขตดอนเมือง ตามที่สำนักการระบายน้ำเสนอ ไปพิจารณา เพื่อสร้างบ่อสูบน้ำและท่อระบายน้ำในถนนช่างอากาศอุทิศ ด้วยงบประมาณ 230 ล้านบาท



+++เกาหลีใต้ เริ่มทำความสะอาดพื้นที่ ภายหลังไต้ฝุ่นชบาพัดกระหน่ำชายฝั่งภาคใต้ ทั้งลมแรงและฝนตกหนัก เกิดน้ำท่วมฉับพลัน พบผู้เสียชีวิต 6 ศพ และสูญหาย 4 คน ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัย 200 คน ประชาชน 229,000 ครัวเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้ บ้านเรือนราษฎร ร้านค้าและโรงงานหลายแห่งจมอยู่ใต้กระแสน้ำ



+++สำนักงานป้องกันและควบคุมภัยพิบัติแห่งชาติของเวียดนาม เตือนประชาชนตามชายฝั่งตั้งแต่ทางเหนือลงไปถึงตอนกลางค่อนไปทางใต้ให้เตรียมตัวรับมือกับพายุโซนร้อนแอรี กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า พายุโซนร้อน แอรี บริเวณตอนบนของประเทศฟิลิปปินส์กำลังเคลื่อนตัวลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบนแล้ว พายุนี้มีแนวโน้มจะเคลื่อนตัวไปทางชายฝั่งด้านตะวันออกของประเทศจีนในช่วงวันที่ 8-10 ตุลาคม 2559 ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณฮ่องกง มาเก๊า และเกาะไหหลำ ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทาง  พายุลูกนี้ไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย



+++หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(ศอตช.) รับผิดชอบตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องรับผิดชอบในทางละเมิดในโครงการรับจำนำข้าว นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ในฐานะเลขานุการศอตช. เปิดเผยว่า พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเป็นประธานการประชุมร่วมกับผู้แทนกระทรวงการคลังกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในวันที่ 10 ต.ค.เวลา 14.30น. เพื่อพิจารณาข้อมูลตรวจสอบ กรณีการรับผิดของเจ้าหน้าที่รัฐที่เอื้อประโยชน์ให้เอกชนและผู้ตรวจสอบข้าวในคลังสินค้า หรือเซอร์เวย์เยอร์ที่ร่วมกระทำผิดในกรณีดังกล่าว ว่า มีผู้ใดที่ต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวอีกร้อยละ 80บ้าง  โดยการประชุมจะมีการกำหนดแนวทางการทำงานเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนจำนวน 853 สำนวนในพื้นที่ 33 จังหวัด ทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคเหนือ เบื้องต้น จะเสนอให้มีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนแยกเป็นรายสำนวนคาดว่า จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องถูกตรวจสอบ มีทั้งเจ้าหน้าที่องค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) องค์การคลังสินค้า (อคส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)  



+++การประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ซึ่งมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาการปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และได้เชิญตัวแทนคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มาดูเนื้อหาการร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ นายมีชัย เปิดเผยว่า ครบถ้วนตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว กำลังดูความถูกต้องของถ้อยคำและคำผิด-คำถูก เตรียมส่งให้นายกฯ ในวันที่ 11 ต.ค. และยังมีงานที่ต้องรีบทำ คือการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ให้เสร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง กกต.และพรรคการเมือง ต้องรีบทำให้เร็วที่สุด คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อส่งต่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณาโดยเร็ว ส่วนสนช.จะพิจารณาอย่างไร จะปรับแก้หรือไม่ก็อยู่ที่ดุลยพินิจ แต่ถ้าจะแก้ไข ก็ต้องมีเหตุผลที่ชัดเจน ทั้งนี้ ยืนยันว่า กรธ.ไม่มีความคิดที่จะเซตซีโร่พรรคการเมือง



+++นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษาพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน และรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-1 ต.ค. ณ มลรัฐฮาวาย สหรัฐฯ ที่สูงกว่า 20 ล้านบาทว่า ในการประชุมครั้งนี้เนื่องจากสหรัฐฯ ต้องการทำงานร่วมกับไทยหลายเรื่อง เพราะเขาเห็นว่าการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญมีความโปร่งใส เขาต้องการความชัดเจนข้อกฎหมายทั้งเรื่องการค้ามนุษย์ การก่อการร้ายและทะเลจีนใต้ เขาก็เลยให้เราส่งทีมใหญ่ไปเข้าร่วมประชุม ซึ่งตอนแรกพล.อ.ประวิตร ต้องการไปแบบทีมปกติ แต่พอเอาทีมใหญ่ไปก็ต้องมีตำรวจที่เกี่ยวข้องในแต่ละเรื่อง และคณะทำงานด้านต่างๆ ทำให้ต้องมีผู้ร่วมเดินทางเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแผนการเดินทางตอนแรกก็ไม่มีอะไรแปลก แต่เมื่อไปทำเป็นทีมใหญ่ ทำให้เงื่อนไขเปลี่ยนไป ทั้งนี้เชื่อว่ากระทรวงกลาโหมชี้แจงได้ แม้มีบางเรื่องละเอียดอ่อน ส่วนเงื่อนไขของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่กำหนดให้มีการเปิดตัวเลขค่าใช้จ่ายจริงในการเดินทางนั้น ทั้งนี้ตัวเลขที่ออกมาในขณะนี้ ที่มองว่าสูงเพราะเป็นตัวเลขดิบ เป็นตัวเลขกรอบงบประมาณ โดยการชี้แจงจะต้องมีรายละเอียดว่าขอไปเท่าไหร่และใช้จริงไปเท่าไหร่ เมื่อถามว่า สหรัฐฯได้มีการสอบถามอะไรมาบ้างหรือไม่ นายปณิธาน ตอบว่า เขาบอกว่าเขาก็แปลกใจ เพราะทีมชุดใหญ่ที่ไปเป็นการส่งสัญญาณที่ดี แต่กลับกลายเป็นประเด็น และมองว่าประเด็นที่คุยกันจริงๆจังๆยังไม่ออกมา



+++ตลาดหุ้นไทย ปิดตลาดที่1,513.86จุด เพิ่มขึ้น3.94จุด มูลค่าการซื้อขาย 50,999.17ล้านบาท ตลาดหุ้นภาพรวมของไทย ยังได้รับอานิสงส์ตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ลดลง แต่ปัญหาคือแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติและกองทุนฯ เอาแน่นอนไม่ได้ ทำให้ตลาดดูไร้ทิศทาง โดยการลงทุนในช่วงนี้ต้องระมัดระวัง



+++ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง บวก 164.19 จุด ปิดที่ 23,952.50 จุด หลังจากที่สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของ ISM อยู่ที่ระดับ 57.1 ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับ 51.4 เมื่อเดือนส.ค.

+++ดัชนีนิเคอิตลาดหุ้นโตเกียวญี่ปุ่น ปิดบวกติดต่อกัน 4 วันทำการ  โดยนิเคอิ ปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือน เพราะได้แรงหนุนจากเงินเยนที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดบวก 79.86 จุด แตะที่ 16,899.10 จุด

+++ กลุ่มผู้ค้าสยามสแควร์ เจรจากับกรุงเทพมหานคร(กทม.) กรณีการจัดระเบียบคืนทางเท้าให้ประชาชน ผู้ค้ายื่นข้อเสนอขอให้กทม.อนุญาตให้ตั้งแผงค้าในช่วงเวลากลางคืน ช่วงเวลาที่ไม่มีประชาชนสัญจรแล้ว ยอมลดพื้นที่ขายของ หรือ ยืดระยะเวลาออกไป เพื่อให้ผู้ค้าเตรียมตัว เพราะพื้นที่บริเวณใต้ทางด่วนพงษ์พระราม ที่กทม.จัดหาไว้รองรับผู้ค้า ไม่มีคนเดิน และเป็นแหล่งมั่วสุม ไม่สามารถค้าขายได้



+++ด้านนายสัจจะ คนตรง รองผู้อำนวยการสำนักเทศกิจ ระบุว่า กทม.ผ่อนผันระยะเวลาให้ผู้ค้ามากว่า 5 ครั้งแล้ว แต่ผู้ค้ายังค้าขายตามปกติ ส่วนพื้นที่บริเวณใต้ทางด่วนพงษ์พระราม สามารถรองรับผู้ค้าได้กว่า 800 ราย แต่มีผู้ค้ามาลงทะเบียนเพียงร้อยกว่าราย  ยืนยัน เดินหน้าปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เพราะได้รับการร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก



 



 

ข่าวทั้งหมด

X